แกล้งโง่..หรือโง่จริง ๆ


ในระดับผู้บริหารและนักการเมือง มีหลายเรื่องที่เขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ เขาจะไม่สัญญาและพยายามจะไม่มองว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา แต่จะมองเฉพาะสิ่งที่เขาทำได้เท่านั้น

จากการตอบข้อคิดเห็นของท่านขุนพลเม็กดำ (ผอ.ศักดิ์พงษ์ หอมหวล) ท่านบอกว่า การที่จะเป็นผู้บริหารได้นั้น ต้องใช้หลักของท่านขงจื๊อ คือ ปิดหู ปิดปาก ปิดตา คือ แกล้งทำเป็นไม่รู้ นั่นแหล่ะครับ

เพราะผมเชื่อว่าคงไม่ปิดความคิดนะครับ

ทีนี้ผมเลยมานั่งพิจารณาจากคำพูดของครูบา ว่า ในระดับผู้บริหารและนักการเมือง มีหลายเรื่องที่เขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ เขาจะไม่สัญญาและพยายามจะไม่มองว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา แต่จะมองเฉพาะสิ่งที่เขาทำได้เท่านั้น

ลักษณะเช่นนี้ ก็คือ การแกล้งโง่ อีกแบบหนึ่ง เพื่อเอาตัวรอด อย่างน้อยก็ดาบนี้ ดาบหน้าค่อยว่ากันทีหลัง

การทำงานเช่นนี้ก็น่าเห็นใจครับ ที่ท่านจะต้องแกล้งโง่

แต่ผมจะไม่เห็นใจเลยครับถ้าท่านโง่จริงๆ

แตกต่างกันอย่างไรครับ ระหว่างแกล้งโง่ กับโง่จริงๆ

แกล้งโง่ น่าจะหมายความถึง รู้ แต่ไม่พูด เข้าใจ แต่ยังไม่ได้ทำ หรือ กำลังหาวิธีแก้ไขปัญหาอยู่ โดยยังไม่ได้บอกใคร สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนมาในเชิงวิสัยทัศน์และพฤติกรรม การทำงานที่เราเรียกกันว่า Tacit knowledge ในการทำงานนั่นแหล่ะ

โง่จริงๆ น่าจะหมายความถึง การขาดความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเชิงวิสัยทัศน์ เชิงกระบวนทัศน์ การกำหนดกลยุทธ์ กลวิธี และเทคนิคการทำงานด้านต่างๆ จนเป็นสาเหตุให้กรอบงานที่ตัวเองต้องปฏิบัติในฐานะผู้รับผิดชอบนั้น ทำได้ไม่สำเร็จ

เปรียบเสมือนเป็นปูเสฉวนในกระดองเต่านั่นแหล่ะครับ

พวกหลังนี้ จะอวดอ้างว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบเรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่จะไม่ค่อยพูดถึงว่า จะทำงานดังกล่าวให้ลุล่วงได้อย่างไร

เพราะตัวเองไม่รู้ ในขณะที่คนแกล้งโง่ จะรู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประกาศตนออกมาอย่างชัดแจ้งก็ตาม ซึ่งจะต้องสะท้อนออกมาในพฤติกรรมการทำงาน

ทีนี้ การทำงานส่วนใหญ่เราพบว่า มีหลายคนแกล้งโง่ เพื่อจะได้เข้าไปทำงานในบางอย่าง ที่เป็นเรื่องยาก แต่ก็แกล้งโง่โดยคิดว่าเป็นเรื่องง่าย แต่พอทำเข้าไปจริง ๆ ก็ไม่มีความรู้พอที่จะทำงาน ให้ได้ผลอย่างที่กำหนดไว้ จึงกลายเป็นคนโง่จริง ๆ ขึ้นมา

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การแกล้งโง่ ทำให้ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ เพราะจะต้องทำเป็นไม่สนใจ สิ่งที่ตัวเองควรจะต้องรู้ ก็เลยทำให้ไม่รู้ ซึ่งเกิดมาจาก “การแกล้งโง่ ทำให้เกิดการโง่จริง ๆ” ขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ในกรณีหลังนี้ ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีครับ

แต่ผมหวังว่า ในกลุ่มสมาชิกพวกเราทั้งหลาย คงไม่มีใครที่จะแกล้งโง่หรอกนะครับ เพราะถ้าแกล้งไปนาน ๆ มันจะติดเป็นนิสัยครับ กลายเป็นคนโง่จริง ๆ ขึ้นมา ก็จะเสียชาติเกิดเลยล่ะครับ ใครคิดว่าอย่างไรครับ แสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับ ผมจะได้หายโง่บ้าง ขอบคุณครับ

หมายเลขบันทึก: 70475เขียนเมื่อ 1 มกราคม 2007 18:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม 2012 22:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
     แกล้งโง่ นะไม่ OK ครับ หากน้ำไม่เต็มแก้ว ก็ OK นะครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าเพราะเพียงอยากเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว แต่ถูกมองว่าแกล้งโง่ ซึ่งบางทีก็ใกล้เคียงกัน ที่สำคัญถูกคนอื่นตัดสินนะครับ เรื่องอย่างนี้ มันน่าเสียใจเมื่อใดที่เขาตัดสินผิดนี่สิประเด็น
แกล้ง คือ ตั้งใจ  คนที่แกล้งโง่ คือ คนที่ตั้งใจโง่...โง่ที่รู้แล้วตั้งใจทำไม่รู้  คนเหล่านี้เค้าเรียกว่าคนที่ไม่ยอมพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาทางความคิด  ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับที่ท่าน ดร. แสวง รวยสูงเนิน ได้กล่าวไว้ตอนท้ายว่า "ในกลุ่มสมาชิกพวกเราทั้งหลาย คงไม่มีใครที่จะแกล้งโง่หรอกนะครับ เพราะถ้าแกล้งไปนาน ๆ มันจะติดเป็นนิสัยครับ กลายเป็นคนโง่จริง ๆ ขึ้นมา ก็จะเสียชาติเกิดเลยล่ะครับ" ผมว่าคนที่แกล้งโง่ในเรื่องเกี่ยวกับการจัดการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ อย่าว่าแต่เสียชาติเกิดเลยครับ  ผมว่าไม่น่าเกิดมาร่วมชาติมากกว่า  แล้วความแกล้งโง่ของเค้า เราน่าจะเรียกว่า "โง่ถาวร" หรือ "โง่บัดซบ" น่าจะเหมาะกว่า
ผมกำลังพยายามแก้ไขอยู่แต่ แถบเครื่องมือยังไม่มา ขอบคุณครับคุณชายขอบ และคุณ รตนญาณ ที่มา ลปรร ครับ ผมอยากฟังอละอย่ากทราบว่า ทำไมต้องแกล้งโง่ให้เป็นจริงมากเกินไป จนโง่จริงๆ น่าเสีบดายมาเลยครับ ที่มีโอกาส แล้วไม่ทำ
    แกล้งโง่ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ ผมก็ใช้บ้างตามโอกาสอันควรครับ มันเป็นเทคนิคการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของผู้คน  บางครั้งสิ่งที่เรารู้แล้วหลายๆอย่าง ต้องเก็บงำเอาไว้ก่อนเพื่อให้เวทีเป็นของผู้เรียนมากๆ  เมื่อเห็นเขาแสดงกันเต็มที่แล้ว ขาดเหลืออะไรเราก็ปล่อยสิ่งที่กั๊กเอาไว้มาเสริม อย่างนี้เป็นการแกล้งโง่เพื่อให้คนอื่นไม่ต้องโง่ครับ
   แต่ถ้าเป็นการแสดงตน แนะนำตัวเพื่อร่วมกันทำงาน ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเกรงใจไม่กล้าบอกความความรู้ ความสามารถของตัวเอง  การแกล้งโง่ ในกรณีเช่นนี้ แม้ดูเหมือนจะดูดี  ไม่ขี้โอ่ ขี้อวด รู้จักถ่อมตน แต่ผลที่ตามมาทำให้เสียโอกาสที่คนในกลุ่มจะได้ใช้ศักยภาพเพื่อช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี วิธีที่ใช้คือบอกตรงๆว่าเราชำนาญอะไร เล่นเรื่องไหนมากๆมาแล้ว  ตัวแก้เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดก็คือ หาจุดอ่อนด้อย หรือสิ่งที่เราไม่ถนัดจริงๆมาเสนอประกอบด้วย  คือเมื่อบอกเขาว่า ฉลาดอะไร  ก็ตรวจสอบตัวเอง แล้วบอกเขาไปด้วยว่า โง่อะไร  ด้วย .. อย่างนี้ก็จะทำให้ไม่ต้องมา แกล้งโง่ ให้เสียเวลากันอีกต่อไปครับ
อาจารย์พินิจครับ ขนาดไม่แกล้งเราก็โง่อยู่แล้ว ๙๙% รู้แค่๑% ถ้าแกล้งก็ดูว่าจะเหลือน้อยลง แต่ถ้าโง่จริงๆล่ะ จะเหลือเท่าไหร่ แน่แหละที่ท่านไอน์สไตน์บอกตรงกับพระพุทธเจ้าว่า ความรู้ที่ยังไม่มีใครค้นพบนั้นมากมายเหมือนเม็ดทรายบนชายหาด (ไอน์สไตน์) หรือ ใบไม้ในป่า (พระพุทธเจ้า) จะจัดการความรู้ (KM) หรือความไม่รู้ (SM) ก็รีบๆเถอะครับ เวลาไม่รอใคร (ขอลอกฝรั่งมาพูดหน่อย เดี๋ยวจะว่าไอ้พวกเด็กวัด ไม่รู้ภาษาฝรั่งหรอก โดนทั้งอาจาย์และผมเต็มๆ เลยละครับ)
เรื่องบางเรื่องรู้แต่แกล้งโง่ แต่บ้างครั้งก็โง่จริงๆๆ

บางเรือง เค้าก็อยากไห้เราโง่น่ะ ท่าเรารู้มากไป มัรอาจจะไม่ดีต่อเค้า และเราแต่บทสรุปของการโง่นั่นคือ เค้าไม่ได้ไว้ใจเราเพราะเราโง่ รึคนโง่ ย้อมโง่ ยอมโง่ เพราะคิดว่ามีผลดีกว่าตัวเอง สรุปเลยคือโง่ ต่อ (เพราะเค้าไม่ยากไห้เรารู้ไง เค้าเลยเล่นบท ไห้เราโง่ ส่วนคนโง่ก็ ยอมโง่ไปเรือยๆ และไม่ยอมรับ ก็คนหลอก มันอยากไห้เราโง่เนอะ คนโง่ก็เลยมีทางเลือกเดียว คือโง่ต่อไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท