เรื่องเล่าจากอินเดีย ภาคสอง
ครับ อินเดียมีอะไรที่ชวนให้เล่าได้หลายอย่างหลายเรื่อง
โดยเฉพาะการไปเยือนอินเดียคราวนี้ พวกเราไปในมาดของผู้จาริกแสวงธรรม แม้นว่าจะยกโขยงไปกันสองคันรถบัสก็ตามแต่ก็ยังมีความสงบและบันเทิงธรรมตลอดเวลา
จุดเด่นของอินเดียมีหลายเรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องของวรรณะ อย่างที่ผมเล่าไปแล้วตอนไปเยือน ตโปทาราม หรือ ตโปทานที ที่เห็นการแบ่งชั้นวรรณะอย่างชัดเจน
พอกลับมาขึ้นรถบัสเห็นพวกเราบางคนหน้าตาสลดหดหู่ ยกมืออธิษฐานว่า
“เจ้าประคุณลูกจะทำบุญกุศลและรีบเจริญภาวนาเพื่อที่จะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เดี๋ยวพลัดมาเกิดเป็นคนอินเดียอยู่ในสกุลจัณฑาล ต้องมาอาบน้ำครำดำปี๋อย่างนี้”
ทำให้พวกเราหลายคนล้วนพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงสาธุเห็นพ้องด้วยเมื่อเดินทางต่อไปสักพักใหญ่ พอหิวขึ้นมาต่างคนก็ควักเสบียงที่กักตุนมาแต่เมืองไทยออกมากินด้วยความหิวและเอร็ดอร่อย
กินไปๆก็นึกถึงคำอธิษฐานของตน จึงกระมิดกระเมี้ยนเอาขนมข้าวต้มใส่ถุงไปให้คนท้ายรถและคนขับชาวบาบู ซึ่งเขาก็รับและวางไว้หน้ารถ
ผมสังเกตว่าถุงขนมที่วางอยู่หน้ารถนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังอธิษฐานและระยะทางที่เราไป แต่ไม่เคยเห็นทั้งคนท้ายรถและคนขับกินขนมของพวกเราเลย สุดท้ายรนอดทนไม่ไหวจึงแอบไปกระซิบถามไกด์ ซึ่งไกด์ก็แอบกระซิบตอบว่า
“เขาไม่กินของเราดอกค่ะ เพราะต่างวรรณะกัน”
ผมก็งงและบอกว่า... อ้าวเราไม่มีวรรณะนี่ ไกด์ก็ตอบว่า เพราะเราไม่มีวรรณะนี่ละทำให้เขาไม่แน่ใจว่าจะอยู่ต่ำกว่าเขาหรือสูงกว่า ทางที่ดีและปลอดภัยเขาจึงไม่กินของเรา
ตกลงบารมีทานที่ตั้งใจให้เป็นมหาทานของพวกเรา จึงเป็นหมันมาตั้งแต่ครานั้น
เรื่องชนชั้นวรรณะของอินเดียจะขาดรสชาติไปโข หากไม่กล่าวถึง ท่านมหาตมะ คานธี เอกบุรุษชาวอินเดียที่ชนทั่วโลกรู้จักในภาพของนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นเอกภาพของชาวอินเดีย
นักต่อสู้ความโหดร้ายทารุณ ความป่าเถื่อนด้วยความสงบที่เรียกว่า อหิงสาคนทั้งโลกเห็นภาพของคานธีในภาพลักษณ์ชายชรานุ่งผ้าเตี่ยวเปลือยกายท่อนบน นั่งปั่นฝ้ายที่นำมาทอเป็นเสื้อผ้าใช้เองและใช้ชีวิตที่สมถะ แต่กล้าหาญที่จะยืนขึ้นสู้กับความอยุติธรรม
คานธีกล่าวถึงวิถีทางแห่งการต่อสู้ของชาวอินเดียว่า
“คนที่ประพฤติตัวเยี่ยงหนอน จึงสมควรถูกเหยียบย่ำ เราจะต้องเรียนรู้การต่อสู้กับตัวเอง เราเป็นทาสมานานจนต้องรู้จักลุกขึ้นสู้กับตัวเองเสียบ้าง จงกำจัดความคิดที่จะพึ่งพาผู้อื่นหรือใช้การติดสินบน แทนที่จะใช้ความกล้าหาญ เราจะไม่อาจต่อสู้กับรัฐบาลได้ถ้าเราไม่เรียนรู้การต่อสู้กับตัวเอง”
แต่มหาตมะ คานธี ผิดหวังกับหลายๆเรื่องในประเทศ นอกจากต้องต่อสู้กับการพ้นไปจากการเป็นอณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษแล้ว คานธียังต้องรับศึกภายในที่หนักหน่วงยิ่งกว่า นั่นคือปัญหาเรื่องความรักและสามัคคีของชาวอินเดีย
เขาต้องทนดูประเทศอินเดียวุ่นวาย ด้วยความเกลียดชังของคนอินเดียด้วยกันเอง
ในวันที่ 14 สิงหาคม 2490 ชาวอินเดียเฉลิมฉลองที่ได้อิสรภาพปลดแอกจากอังกฤษ แต่อีกด้านหนึ่งชาวมุสลิมถือโอกาสยืนยันจะแยกตัวออกไป เกิดความแตกแยกระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาฮินดูและอิสลาม อาจทำให้อินเดียต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ ด้วยชาวอิสลามต้องการแยกตัวออกไปก่อตั้งรัฐปากีสถาน
คานธีมองภาพที่ชาวอินเดียทั้งสองศาสนาเฉลิมฉลองกันอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า
“เหตุใดคนเหล่านั้นถึงยินดี ข้าพเจ้าเห็นแต่เลือดนองในแผ่นดิน”
ความไม่สงบลุกลามไปทั่ว คนอินเดียเริ่มใช้วิธีก้าวร้าวฆ่าฟันกัน ยังความสลดใจถึงขีดสุด ทำให้คานธีลุกขึ้นประกาศว่า
“ข้าพเจ้าจะอดอาหารประท้วงจนกว่าการเข่นฆ่าจะหมดไป”
ทำให้คนทั้งโลกหันมามองด้วยความสนใจ ชาวอินเดียส่วนใหญ่กำลังครุ่นคิด ความรุนแรงเริ่มยุติ ดูเหมือนว่าการต่อสู้แบบอหิงสาของคานธีกำลังจะได้ผล
แต่ในวันที่ 30 มกราคม 2491 ขณะที่คานธีกำลังเดินออกไปจะสวดมนต์ร่วมกับฝูงชนตามปกติ นาฮูราน กอสซี่ วัย 36 ปี ก้าวออกมาก้มลงคารวะคานธี แล้วพูดว่า วันนี้ท่านมาสายสำหรับการสวด
คานธีตอบว่า "ใช่ฉันมาสาย...มาสายไปจริงๆ"
แล้วกอสซี่ชักปืนเล็กๆออกมายิงใส่คานธี 3 นัด
“ราม” คือคำพูดสุดท้ายของคานธี ที่โลกได้ยิน และคนทั้งโลกตกตลึงพรึงเพริด
สุดท้าย อินเดียจึงถูกแบ่งร่างออกเป็นสองซีก แบ่งด้วยความเกลียดชังภายในจิตใจของชาวอินเดียที่มัวเมาในลัทธิศาสนา
เรื่องต่อไปของอินเดียคือ ความยากจนข้นแค้นที่เกิดจากจำนวนประชากรที่มีมากเป็นอันดับสองของโลกถึง 1,080,264,380 ล้านคน น้อยกว่าประเทศจีนที่มีประชากรประมาณพันสามร้อยล้านคน
แต่ผมสังเกตดู ชาวอินเดียส่วนใหญ่เข้าใจในข้อจำกัดของประเทศและดูเหมือนยอมรับในวิถีชีวิตเหล่านี้ ด้วยการดำรงตนอยู่ด้วยวิถีแห่งเศรษฐกิจพอเพียงอย่างที่ผมเล่ามาในภาคแรก
ในท่ามกลางความยากจนนี้ กลับทำให้ชาวอินเดียส่วนหนึ่งเห็นความสำคัญของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้านไอที คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศว่ากันว่า โปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดในปัจจุบัน ในระดับท็อปเทนนั้น ต้องมีชาวอินเดียยืนอยู่ด้วยอย่างน้อยสามสี่คน
มีเรื่องเล่าว่า ฝรั่งที่ประสงค์จะจ้างโปรแกรมเมอร์ชาวอินเดียรายหนึ่ง ติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจนเจรจาตกลงกันแล้ว พอถึงวันเซ็นสัญญา ฝรั่งคนนั้นตกลงไปเดินทางไปอินเดียเพราะอยากไปเที่ยวด้วย
เขาต้องเดินทางไปด้วยถนนที่ขรุขระ ซอมซ่อและยากลำบากที่กินเวลานานถึงสองวัน กว่าจะไปถึงหมู่บ้านเล็กๆที่โปรแกรมเมอร์ชาวอินเดียที่เก่งสุดยอดนั้นอาศัยอยู่เข้าไปนั่งเซ็นสัญญากับชายที่นุ่งผ้าเตี่ยวสวมเสื้อสีมอๆอยู่ในบ้านเก่าๆ(ทาด้วยขี้วัวหรือเปล่า ไม่ยักกะบอกไว้) แต่ดันมีคอมพิวเตอร์รุ่นท็อปและเชื่อมอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใช้
เป็นภาพสองภาพที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในสายตาของฝรั่ง
แต่ในสายตาของคนเอเชียอย่างเราๆ นี่คือความฉลาดทางปัญญาที่เลือกหยิบเอาแต่แก่นและทิ้งเปลือกที่ไม่สำคัญกับชีวิตนักออกไปเสียบ้าง
เพราะบางครั้งเปลือกก็ทำให้รุงรังและมีน้ำหนักถ่วงตัวของเราให้เดินช้าลง
บางครั้งวิถีชีวิตโลกปัจจุบันที่เดินตามก้นฝรั่งมากเกินไป ทำให้เรามีข้าวของใช้เกินความจำเป็น ข้อสำคัญข้าวของเหล่านั้นต้องเสียเงินตราซื้อเขามา ซื้อมาบางทีก็ไม่ได้ใช้
เพียงแต่เอามาประดับบารมีโก้ๆว่าข้ามี...ข้าไม่เชย...ข้าอินเทรนด์
กลับมาจากอินเดียทำให้ผมหันมาสำรวจดูตนเองบ้าง
เอ๊ะ! ข้าวของเราก็เยอะเหมือนกันนี่หว่า แถมของบางอย่างยังไม่เคยใช้เลยและบางอย่างใช้ไปเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นตั้งแต่ซื้อมา
เลยกะว่าจะเอาไปบริจาค หรือจะชวนท่านผู้อ่านมาเปิดเน็ตขายของที่เคยรักของที่เคยหลงดี
ผ่างๆๆๆๆ เจ้าข้าเอ้ย! ใครมีของที่ไม่จำเป็นในชีวิตแล้ว ให้แจ้งความจำนงมาร่วมกัน ขายถูกๆหรือประมูลเอาเงินเข้ามูลนิธิการกุศลหรือช่วยเหลือในกิจกรรมพุทธศาสนา
เดี๋ยวผมขอตัวไปสำรวจดูก่อนว่ามีกี่ชิ้น จะมาประกาศขายทางเน็ตร่วมด้วยช่วยกัน
ของเคยหลงของอาจารย์พิชัย...ใครอยากได้บ้าง?
สวัสดีปีใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัยค่ะอาจารย์
มีม้าเร็วส่งข่าวว่าอาจารย์มาทำบล็อก gotoknow นี้ ประจวบเหมาะกับมาอยู่แดนไกลกำลังอยากฟังธรรมะ
จากอาจารย์พอดี
เลยขอแวะเข้ามาอ่าน มาอนุโมทนา แล้วก็มาสวัสดีปีใหม่เป็น ทรี อิน วัน ไปเลยนะคะอาจารย์
ได้ตะลุยอ่านที่อาจารย์เขียนหลายเรื่องพร้อมกัน
ทำให้หนูได้ข้อคิดดี ๆ อีกมากมาย และมีแรงฮึด
เรียนต่อด้วยค่ะ บางทีมาไกล ๆ อย่างนี้มันก็เหนื่อยหน่อย
แถมได้อาจารย์เป็นแรงดลใจให้หนูไปเขียนความคิดตัวเองเก็บ ๆ ไว้ด้วย เพราะที่จริงก็มาสมัคร Gotoknow ไว้ตั้งแต่กลางปี ๔๘ แล้วไม่เคยเขียนบล็อกเลย
ในบล็อกหนูมีอ้างถึงอาจารย์ฺด้วยนะคะ โดยทำลิ้งค์ฺมาที่บล็อกหน้านี้ด้วยแล้ว
แต่จะมีปัญญาเขียนบล็อกต่อไปได้อีกกี่มากน้อยก็ไม่ทราบ
เพราะตอนนี้ที่ต้องเขียนก่อนแน่ ๆ คือวิทยานิพนธ์ ซึ่งกำลังเริ่มเข้าเค้าแล้วค่ะ เพราะอาจารย์ที่ญี่ปุ่นช่วยดูด้านทฤษฎีให้หนูแล้ว
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ คิดถึงการเป็นโยคีมากเลยค่ะ ปฏิบัติอยู่ที่นี่อย่างไร ก็ไม่เหมือนที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ นอกจากการปฏิบัติแล้ว ก็ อยากกลับไปให้ฟังอาจารย์บรรยายธรรมอีกด้วยค่ะ ห่างหายการฟังธรรมมานาน รู้สึกโง่ลง ๆ ทุกวันเลยค่ะ (จากเดิมที่โง่อยู่แล้ว แหะ ๆ)
เกือบลืมบอกที่อยู่บล็อกไป เรื่องแรกนี้ก็ี่คือเรื่องราวจากแดนอาทิตย์อุทัยในวันปีใหม่น่ะนะคะ
http://gotoknow.org/blog/gonash
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ฝากกราบอาจารย์ศิริพร และอาจารย์ทุก ๆ ท่านด้วยนะคะ
ป.ล. ของเคยหลงของอาจารย์ มีอะไรจะขายบ้างล่ะคะ? (หนูเล็งหนังสือธรรมะเก่า ๆ หายากของอาจารย์นี่ล่ะค่ะ ฮิ ๆ แต่สงสัยจะไม่ขาย)
สวัสดีปีใหม่ หนูณัชร
แปลกใจและแกมดีใจหนอที่เขียนเสร็จปุ๊บ มีผู้อ่านเขียนเข้ามา เป็นคนที่รู้จักและมาจากแดนอาทิตย์อุทัยด้วย ขอสนับสนุนให้เขียนบล็อกนะ เพราะณัชรจะมีความรู้ฝังแน่นเยอะ จะได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย
ของเคยหลงอาจารย์มีเยอะ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและCD แต่จะเลหลังคราวเดียว