(5)
วิธีฝึกการทำงานและฝึกนิสัยเด็ก
แบบที่ 1 ทำโดยหน้าที่
ก่อนถึงชั่วโมงเรียน ทีมต้องมาขนข้าวของบรรดามีไปที่ห้องเรียน อย่างไม่มีอะไร ดิฉันก็แปะโน้ตบอกไว้ว่า วันนี้ไม่มีอะไรจ้ะ ไม่ต้องขน พูดง่ายๆว่าจะไม่มีวันใดที่เธอจะไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่เป็นอันขาด "อาจันฮ้า หนูช่วยถือมั้ยฮ้า...!" และบอกเธอว่า "ถ้าจะช่วยครูถือ คุณก็ช่วยเลย นิสัยครูชอบทำอะไรเอง ถ้าคุณเต็มใจจะช่วย ..ก็ขยับตัวให้ไวอีกนิดนึงนะ .....น่ารักมากลูก...." บางครั้ง สีหน้า สายตา ท่าทาง การสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ด้วยความรัก ก็สื่อความหมายได้อย่างนุ่มนวล กระทบใจผู้รับสารมากกว่าการพูดปาวๆๆๆเสียอีก
(ปล.ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่าง และในสถานการณ์จริงมีปริบทมากมายที่ดิฉันไม่สามารถเล่าได้หมด เลือกมาเฉพาะประเด็นสำคัญนะคะ) ส่วนอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งไม่อาจคะเนปริมาณได้) ก็ไม่ได้เดือดร้อนใจที่เห็นครูเดินถือของพะรุงพะรังแต่อย่างใด ตามทฤษฎีที่ว่า ลางเนื้อชอบลางยา ตามนั้นเลยค่ะ ครูต้องทำ ถ้าครูทำอะไรก็ตามอย่างมีจิตสำนึก วงเล็บ อย่างแท้จริง เด็กก็จะเห็นจริง แล้วก็อยากทำตาม เพราะศรัทธาในสิ่งที่ครูทำ เช่นไม่อยากให้เด็กมาสาย ครูก็ต้องมาตรงเวลา (ดิฉันเคยมานั่งหาวหวอดๆรอสอนแต่เช้าเพราะไปลั่นวาจาไว้ว่า ครูจะไม่ผิดเวลา เทอมนั้นมีสอนเช้าเลยได้นั่งหาวหวอดๆทั้งเทอม)
ถ้าต้องการฝึกเด็กให้มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ครูก็ต้องปฏิบัติตนให้มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เด็กเห็นกับตาว่านี่คือสิ่งดี พึงทำ เป็นต้น และ ปล.อีกครั้ง ขอเสริมว่า ไม่มีวิธีการสำเร็จรูปค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือตัวตนของครู ที่จะต้องเป็นมนุษย์ ที่ยืนสอนหรือนั่งสอนเด็กอย่างมีจิตสำนึกตระหนักจริงๆ เด็กๆจะเห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้าเป็นความถี่ซ้ำๆ จนเกิดความมั่นใจ และจะเริ่มทำสิ่งใดๆอย่างมีจิตสำนึกตระหนักไปเอง
ดิฉันจัดทีมปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ไม่มีเว้น ถึงจะอยู่มหาวิทยาลัย ก็ไม่อนุญาตให้มีนักศึกษาหลีกหนีงานเล็กๆที่ต้องทำด้วยน้ำใจ
แบบที่ 2 ทำโดยสถานการณ์
อันนี้เป็นแบบบังเอิญ (แล้วเธอหลบไม่ทัน)เช่นเห็นครูเดินถือถุงพุงป่องน่องทู่(ขอโทษค่ะกลอนพาไป) ถ้าเธอเห็นตำตาแล้วยังเดินเฉย และดิฉันศึกษาเธอจนแน่ใจแล้วว่าเธอมีนิสัยเช่นนั้นจริงๆ ดิฉันก็จะพูดว่า
ถ้าเธอหัวเราะอายๆแล้วเดินมาช่วยถือ ดิฉันก็จะบอกว่า "ไม่เป็นไรจ้า ครูถือได้"
ถ้าเธอปล่อยมือ ดิฉันก็จะพูดต่อว่า "อาจันฮ้า ..ให้หนูช่วยเถอะฮ่า..!" ..และถ้าเธอทำท่าจะช่วยต่อ คราวนี้ดิฉันก็จะยอมให้เธอช่วยแต่โดยดี(เพราะที่จริงก็หนักชะมัด)
แล้วดิฉันก็จะยิ้มให้เธอ 1 ที ด้วยความรัก
ผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เด็กที่เห็นดิฉันถือของจำนวนหนึ่งก็จะวิ่งกรูเกรียวมาแต่ไกล ทั้งที่แต่เดิมเธอจะไม่กระตือรือร้นอะไร
แบบที่ 3 ครูทำ
ผลที่เกิดขึ้น เด็กจำนวนหนึ่งมานั่งรอก่อนไก่โห่ ดิฉันเลยมีเพื่อนร่วมนั่งหาวหวอดๆตลอดเทอม เวลาเช็คสาย ไม่มีใครอ้าปากหาวเอ๊ยอ้าปากเถียงแม้แต่คนเดียว
สวัสดีครับ อาจารย์สุขุมาล
ผมเคยอ่านเจอในสารคดี ซึ่งคุณประดิษฐ ประสาททอง ได้พูดไว้อย่างน่าคิดว่า
"การถ่ายทอดความรู้จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง มันมีทั้งการสอนโดยตรง การฝึก การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้..."
ผมมองว่าในแบบที่ 2 (ทำโดยสถานการณ์) นั้น อาจารย์ได้สร้างบรรยากาศโดยใช้อารมณ์ขันเป็นจุดเริ่ม นับเป็นกุศโลบายอันยอดเยี่ยมครับ :-)
อีกจุดหนึ่งที่อาจารย์สรุปไว้โดนใจมากก็คือ "บางครั้ง สีหน้า สายตา ท่าทาง การสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ด้วยความรัก ก็สื่อความหมายได้อย่างนุ่มนวล กระทบใจผู้รับสารมากกว่าการพูดปาวๆๆๆ เสียอีก"
ที่ผมว่าโดนใจ เพราะมีอย่างน้อย 3 แง่มุมครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในครั้งก่อนหน้านั้น อาจารย์ได้บอกล่วงหน้าให้ทุกคนอ่านเตรียมมาก่อน
พอถึงต้นชั่วโมงถัดไป อาจารย์เริ่มต้นโดยการถามว่า มีใครอ่านมาบ้างไหม...ปรากฏว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยกมือ
เท่านั้นแหละครับ ท่านก็ปิดแฟ้ม แล้วพูดสั้นๆ แต่ดังมากว่า "Class over." แล้วก็เดินออกจากห้องไป แถมปิดประตูเสียงดังปัง!....ทั้งห้องเงียบกริบ
พอถึงครั้งหลังจากนั้น ปรากฏว่าคราวนี้ทุกคนอ่านเตรียมพร้อมมาก่อน และการเรียน-การสอนก็ดำเนินไปด้วยดี
เรื่องสุดท้ายที่เล่ามานี้ไม่ได้หมายความว่า ผมคิดว่าการใช้อารมณ์แบบรุนแรงเป็นเรื่องดีนะครับ แต่นานๆ ใช้ที โดยมีเหตุอันควร ก็ได้ผลมากทีเดียว (นั่นเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นอย่างนั้น)
ก็เลยเล่าให้อาจารย์ฟัง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเกี่ยวกับการสื่อสารแบบผสมผสานระหว่าง verbal + non-verbal communicaiton ครับ :-)
ขอบพระคุณมากค่ะ อาจารย์ ดร.บัญชา ที่เล่าเรื่องเชื่อมโยงกับทฤษฎีการสื่อสารได้อย่างเห็นภาพ
ดิฉันขำตัวเองอย่างหนึ่งว่าเวลาสอนเนื้อหาวิชาตามหนังสือ เด็กก็จะหาวหวอดๆกันสุดชีวิตทุกที เป็นเหตุการณ์ที่มีอารมณ์เบื่อมากถึงมากที่สุดเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ โดยที่ดิฉันมิได้เจตนาเลย....
เห็นทีว่าเธอจะจำกันไปนานอ่ะค่ะ..... *_*
สวัสดีครับ อาจารย์สุขุมาล
ผมเคยไปเป็นอาจารย์พิเศษที่จุฬาฯ มีอยู่วิชาหนึ่งที่อาจารย์ประจำวิชา (เป็นเพื่อนรุ่นน้อง) บอกผมว่าให้ "สอนอะไรก็ได้"
ผมงงๆ นิด ถามกลับว่า "จริงๆ นะ?"
เขาบอกว่า เอาเลยพี่ เป็นเด็กปี 4 ภาควิชาวัสดุศาสตร์นะ
ลองมาคิดดูนี่ เด็กปี 4 ก็น่าจะเรียนวิชาต่างๆ มาตามระบบเยอะแยะไปหมดแล้ว แล้วผมจะสอนอะไรดีละ?
ก็เลยเอาความต้องการของเด็กเป็นตัวตั้งครับ คือ มองว่า เด็กมหาวิทยาลัย พอถึงปี 4 ก็จะคิดอยู่ 2 เรื่องหลักๆ (ไม่นับเรื่องความรักของพวกเขานะครับ :-)) คือ หางานทำ หรือไม่ก็เรียนต่อ
ผมก็เลยจัดกิจกรรมทำนองนี้ครับ
- จำลองสถานการณ์การสัมภาษณ์งาน : สำหรับคนที่คิดจะไปทำงาน (เรื่องนี้มีรายละเอียด ซึ่งผมเคยเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งแล้ว)
- เชิญรุ่นพี่ (ของพวกเขาเอง) ที่มีประสบการณ์การทำงาน มาเล่าให้ฟัง รุ่นพี่ของพวกเขานี่อย่างน้อยจะมีอายุมากกว่าเด็กนักศึกษาราว 5-10 ปี
- ให้เขาเขียน CV / ประวัติแนะนำตนเอง เผื่อใช้ในการเรียนต่อ / สัมภาษณ์งาน
ยังมีต่อครับ...เดี๋ยวส่งไปใหม่ :-)
อาจารย์ครับ
แต่มีอยู่กิจกรรมหนึ่งครับที่ได้ผลน่าสนใจ คือ ผมให้เขาแบ่งกลุ่มนำเสนอประเด็นที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า (เช่น พูดถึงเรื่องอะไรสักเรื่อง วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นอะไรสักอย่าง ฯลฯ)
ผมบอกเขาไปว่า เอาละ เรามีประเด็นอย่างนี้นะพวกเธอไปค้นคว้ามา แล้วลองเลือกแง่มุมที่คิดว่าน่าสนใจ หรือเป็นประโยชน์มานำเสนอ
แต่ในการนำเสนอนี่ พวกเธอจะใช้วิธีการอะไรก็ได้ ภายใต้เวลาที่กำหนด (เช่น กลุ่มละ 10-15 นาที) เช่น
- ออกมาพูดหน้าชั้น (แบบเรียบๆ)
- เล่นเป็นละคร
- โต้วาที ฯลฯ
แล้วให้เวลาไปคิด 1 สัปดาห์
ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ก็ออกมาพูดเล่าเรื่องแบบธรรมดาครับ มีแซวกันสนุกๆ บ้าง
แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาถือถุงกระดาษใบใหญ่มาด้วย...คนก็สงสัยว่า เอ๊ะ! มาทำอะไรนี่?
พอถึงเวลา กลุ่มนี้เขาเล่น ละครหุ่นมือ ครับ มีตัวละครอยู่ 3-4 ตัว มีบทพูดคุยสนทนากัน คนพากย์นี่ก็ตีบทแตกครับ เล่นจน 'อิน' ไปกับเรื่อง ทำให้คนดูเพลิดเพลินไปด้วย เรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ
เมื่อวานนี้ ได้ฟังสัมมนาจากอาจารย์ คุณหมอวิจารณ์ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจารย์หมอบอกว่า
"คนเราจะเรียนรู้ได้สูงสุดหากต้องสอนคนอื่น"
ผมยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า แต่เรื่องเด็กคิดกันเอง เล่นกันเอง ดูกันเอง โดยมีครูเป็นคนสร้างเงื่อนไข & บรรยากาศ ก็ได้ผลในบางกรณีเหมือนกันครับ :-)
สวัสดีค่ะ อาจารย์บัญชา
ดิฉันมาตั้งต้นเรื่อง การรู้เท่าทันการสื่อสาร อีกครั้งในบันทึกนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นมงคลดี : )
อาจารย์ทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคของ อาจารย์ คุณหมอวิจารณ์ ที่เป็นมงคลมากนะคะ "....คนเราจะเรียนรู้ได้สูงสุดหากต้องสอนคนอื่น....." ได้ยินอย่างนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าการสอนมีคุณค่าลึกซึ้ง ทำให้เราได้เรียนรู้ อย่างระลึกรู้ไปตลอดทั้งกระบวนการ
ไม่ใช่สอนเพราะลุ่มหลงลำพองในความรู้ แต่เป็นการสอนเพื่อพัฒนา ขณะที่เราช่วยให้เขาพัฒนาความรู้ ตัวเราก็ได้พัฒนา "กระบวนการเรียนรู้" ของตัวเองไปด้วย
อยากเรียนอาจารย์บัญชาว่าดิฉันรู้สึกขอบพระคุณอาจารย์อยู่เสมอ เมื่อได้เข้ามาในโลกการสื่อสารใบนี้ เพราะบทสนทนาไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการพูดคนเดียวสองครั้ง : )
ดิฉันต้องขออภัยอย่างสูง ที่ไม่ได้ตอบความคิดเห็นของอาจารย์ในบันทึกนี้เป็นเวลานานนะคะ ดิฉันได้ค่อยๆเรียนรู้การสื่อสารในบล็อกจากอาจารย์ และตั้งใจอยู่นานแล้วค่ะ ว่าจะเข้ามาตอบความคิดเห็นในบันทึกนี้ให้ตรงกับใจ
.......ทั้งนี้ โดยตอบอย่าง "ตั้งใจ" ที่สุดเลยค่ะ ..... : )
ขอบพระคุณอาจารย์มากๆอีกครั้งค่ะ : )
อาจารย์ครับ
มีเทคนิคการสอนเด็กเล็กๆ ช่วยแนะนำเป็นวิทยาทานแก่ครูประถมบ้างนะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ คุณครูเก่า
อยากทราบวิธีการสอนเด็กป.1
เมื่อไหร่จะตอบคะ
สวัสดีค่ะคุณจี๊ด
ขออภัยที่ตอบช้านะคะ ดิฉันมีงานต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปิดเทอมจึงไม่ได้แวะมา และดิฉันไม่เคยสอนเด็กประถมจึงเล่าสู่กันฟังไม่ถูกจริงๆค่ะ เพราะไม่มีประสบการณ์ ดังที่ได้ตอบคุณ "ครูเก่า" ไว้ด้านบน ในความเห็นที่ 7 ของบันทึกนี้ ดิฉันทำได้เพียงการพูดคุยกับหลานๆและฟังเขาพูด แล้วก็คุยกับเขา ด้วยเรื่องที่เขาอยากคุย บางทีก็เล่านิทานให้หลานๆฟัง แล้วก็ถามเขา(ด้วยท่าทีสบายๆ) ว่าถ้าเขาเป็นตัวละครตัวหนึ่งแล้วตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับตัวละครนั้น เขาจะตัดสินใจทำแบบนั้นไหม เป็นต้น เด็กๆน่ารักนักเมื่อได้พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติค่ะคุณจี๊ด
ขอบพระคุณมากค่ะที่คุณจี๊ดแวะมาเยี่ยมบันทึก และขออภัยอย่างสูงจริงๆที่ดิฉันไม่สามารถตอบคำถามให้กระจ่างได้ หากคุณจี๊ดพอมีเวลา อาจลองท่องไปในบันทึกต่างๆของ GotoKnow โดยเฉพาะบันทึกของเพื่อนครูหลายท่านที่สอนเด็กๆชั้นประถม น่าจะได้แนวการสอนที่น่าสนใจมากมายนะคะ
เอาใจช่วยให้ได้พบวิธีสอนที่คุณจี๊ดชอบนะคะ ขอบพระคุณมากอีกครั้งค่ะ
ผมว่าที่เค้าต้องการคืออันนี้แหละ ไม่ใช่รูปแบบTM กระแสหลัก บัดดี้เขียนแบบที่พูดวันนั้นซิ จุดยืนชัดเจนดีผมฟังแล้วเข้าใจชัด แนวของเราปริบทของเราก็จริงแต่คนอื่นก็เอาไปปรับใช้ได้นะ (comment สองหนจารย์ไม่หักคะแนนผมใช่มั้ยคับ)
บวกสองเลยอ่ะ
เราไปตอบที่ ฮาน นะ : )
ผมอยากรู้กลวิธีการสอนเด็กประถมของอาจารย์นะครับ
ว่ามีกลวิธีใดบ้าง ช่วยตอบหน่อยนะครับ ขอแบบระเอียดหน่อยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
อ่านทั้งบันทึกและการแลกเปลี่ยนกันไปมา
ได้ความรู้แยะเลยครับ
ขออนุญาติเอาไปใช้กับลูกนะครับ...
"คนเราจะเรียนรู้ได้สูงสุดหากต้องสอนคนอื่น"
ประโยคนี้โดนมากครับ
ผมมานั่งคิด ๆ
ตัวเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อคราวต้องไปจัดกระบวนการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
ต้องทำความเข้าใจเนื้อหาเป็นสองเท่า เนื่องจากจะต้องย่อยเนื้อหาและออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกัน
คร้ังนึง ไปสอนเรื่อง "น้ำ" ให้กับเด็ก Giffted ระดับ ม.ต้น เขาให้เวลา สองสัปดาห์
ผมออกแบบกระบวนการเรียนรู้จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำไปโดยปริยาย
ใช่เลยครับ "คนเราจะเรียนรู้ได้สูงสุดหากต้องสอนคนอื่น"
สวัสดีค่ะคุณหนานเกียรติ
ขอบพระคุณมากค่ะที่แวะมาทักทาย ดิฉันต้องขอโทษอย่างสูงที่ไม่ได้เข้ามาตอบความเห็นเป็นเวลานาน เนื่องจากติดภาระงานแบบที่แทบจะไม่มีเวลาเหลือ (หรืออีกทีก็อาจเป็นเพราะดิฉันบริหารจัดการเวลาไม่ดี ทำให้เวลาที่เหลือมีน้อยเกินไป) ^_^
บันทึกนี้เป็นบันทึกประทับใจของดิฉันเพราะความเห็นของอาจารย์ ดร.บัญชานี่แหละค่ะ นอกเหนือจากวิธีสอนของอาจารย์บัญชาที่สร้างวิธีคิดผลิตวิธีทำให้กับเด็กๆได้เป็นอย่างดีแล้ว คำกล่าวของท่านอาจารย์คุณหมอวิจารณ์ ที่กล่าวว่า "คนเราจะเรียนรู้ได้สูงสุดหากต้องสอนคนอื่น" นั้น ก็ช่างจับใจจริงๆ
ดิฉันคิดว่านัยยะของท่าน คงหมายถึงการเรียนรู้ ที่เกิดจากการเพียรพยายามของผู้นั้นจนตนรู้จริงในเรื่องนั้นๆ เพื่อจะได้บอกผู้อื่นอย่างผู้รู้ และการจะบอกได้อย่างผู้รู้นั้น น่าจะเกิดจากการลงมือทำจริง และเห็นแจ้งประจักษ์จริงด้วยตนเอง แล้วจึงเรียบเรียงและถ่ายทอดเรื่องนั้นๆได้เป็นอย่างดีเมื่อต้องบอกหรือแสดงความรู้นั้นแก่ผู้อื่น
และดิฉันก็เห็นจริง ดังที่คุณหนานเกียรติเล่าให้ฟัง เห็นทีว่าคุณหนานเกียรติจะต้องได้รับเชิญเป็นวิทยากรในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำอีกหลายหนแล้วกระมังคะ ^_^
เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันที่มหาวิทยาลัยก็ใช้วิธีนี้ฝึกลูกเช่นกันค่ะ เธอให้ลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเรียน English Program ในชั้น ป.5 สอนภาษาอังกฤษให้น้องๆตัวน้อยๆที่อยู่ในละแวกนั้น ในช่วงปิดเทอม สัปดาห์ละสามวัน และลูกศิษย์ตัวน้อยก็ติดใจคุณครูรุ่นเยาว์เป็นอันมาก เนื่องจากวัยใกล้เคียงกัน และถามได้ซักได้ไม่โดนดุเหมือนตอนอยู่โรงเรียน ข้างคุณครูรุ่นจิ๋วนี้ก็รับผิดชอบหน้าที่เป็นอย่างเลิศ เพราะเธอนำเอาคำถามน้องๆมาค้นคว้าหาคำตอบไปตอบน้องด้วยภาษาที่(เด็กๆด้วยกันจะ)เข้าใจได้อย่างหมดเปลือก เท่าที่ครูตัวเล็กๆจะตอบได้ โดยไม่หวงวิชาแต่อย่างใด
เปิดเทอมถัดมาคุณครูรุ่นเยาว์คนนี้ก็คว้าเกรดสี่มาครองอย่างภาคภูมิใจ เพราะได้อ่านและศึกษาพร้อมเตรียมตอบคำถามไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนปิดเทอม แม่ของเธอภาคภูมิใจมากที่ลูกไม่ต้องเรียนกวดวิชาตลอดภาคเรียนนั้น และดิฉันในฐานะป้า ก็ชอบใจจริงๆที่หลานสาวทำท่าจะมีแววเป็นครูอีกคน ^_^
จะว่าไปแล้ว...ผู้ที่เป็นพ่อแม่นี้โชคดีจริงๆ ที่มีโอกาสฝึกการทำงานและฝึกนิสัยเด็กพร้อมๆกันไปได้เป็นอย่างดี ดิฉันมีโอกาสได้สอนเด็กๆที่คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกมาอย่างดี เด็กๆเหล่านี้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมาแล้วจากในครอบครัว เวลาสอนเด็กๆเหล่านี้จึงรู้สึกมีความสุขจริงๆค่ะ