เวลาที่เราจะคิดจะแก้ไขปัญหาหรือคิดที่จะพัฒนาประเด็นใด ๆ ในสังคม เราเคยนึกถึงระดับความตระหนักที่เหมาะสมว่าควรจะเป็นเท่าไหร่อย่างไรไหม? ผมเขียนบันทึกนี้ด้วยเหตุผลที่วันนี้ได้ติดตามย้อนรอยอ่านบันทึกใน Gotoknow.Org หลังจากที่ไม่ค่อยได้ติดตามอ่านอย่างสม่ำเสมอมานาน ผมพบประเด็นที่ทำให้ Get เรื่องนี้ขึ้นได้เมื่ออ่านแล้วพบการเรียกร้องในหลาย ๆ บันทึก หรืออาจจะเรียกว่าบ่น ๆ ผ่านบันทึกของ Blogger หลาย ๆ ท่านด้วยกัน พอสรุปได้ว่าปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ หรือการพัฒนายังไปไม่ถึงไหน เพราะผู้บริหารบ้าง ผู้มีอำนาจบ้าง หรือบางทีก็เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ปฏิบัติด้วยกันไม่ค่อยเห็นความสำคัญ หรือเห็นความสำคัญแต่ไม่เป็นไปในทางเดียวกัน เรียกว่า Focus Point ไม่แม่นพอ จึงไม่เกิดพลังในการจัดการ เป็นต้น
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของไอน์สไตน์ ที่เคยผ่านการรับรู้มาแต่จำไม่ได้ชัดนักว่า การจะแก้ปัญหา จะแก้ด้วยความตระหนักในระดับเดียวกันกับที่ทำให้เกิดปัญหามันไม่ได้ ต้องใช้วิธีที่เหนือกว่านั้นมาแก้ไข จึงจะจัดการลงได้ แต่พอนึกแล้วผมก็ยังแย้งในใจอีกว่าแล้วหากใช้มากเกินไปจะดีไหม ตอบเองว่าไม่น่าจะดีนัก อะไร ๆ ที่เกินพอดีเกินไปเราถูกสอนให้เชื่อว่าไม่น่าจะดีเหมือนกัน (เน้นว่าถูกสอนมา แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นกับทุกเรื่องไหม) นี่ก็เหมือนกันโดยส่วนตัวนะ ที่เก็บมาคิดเพราะเห็นว่าเป็นคำพูดของบุคคลสำคัญที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตและเป็นที่ยอมรับ เอาเป็นว่าผมเชื่อท่านก่อนในตอนนี้
แล้วระดับของความตระหนักที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา หรือคิดจะพัฒนา อยู่ที่ตรงไหน หากเชื่อตามที่ท่านไอน์สไตน์ว่าไว้ก็ต้องมากกว่าระดับเดิมที่ถูกทำให้เกิดปัญหาขึ้น และผสมความเชื่อแบบภูมิปัญญาไทยว่าต้องพอดีไม่เกินไป ต่อคำถามที่ถามตัวเองว่าระดับใด หากให้ตอบเชิงคณิตศาสตร์ ขอยอม ไม่ขอตอบ แต่โดยส่วนตัวมองเห็นอยู่ช่องทางหนึ่งคือ ความตระหนักนี้ต้องเป็นความตระหนักร่วม ฐานที่มาต้องมาจากกระบวนการที่ดีที่ได้ความตระหนักในปัจเจก หลอมรวมกันเป็นความตระหนักร่วม ซึ่งอาจจะถูกส่งผ่านไปรวมกันยังแหล่งที่เป็นพลังการเมืองเพื่อก่อเกิดเป็นนโยบายสาธารณะ ส่วนจะเป็นระดับพื้นที่ ท้องถิ่น หรือระดับชาติ ก็แล้วแต่ขอบเขตของปัญหาหรือประเด็นการพัฒนานั้น ๆ แล้วแต่กรณี ความสำคัญอยู่ตรงที่เราได้ความตระหนักร่วมมานั้นจริงหรือไม่ หรือเพียงถูกแอบอ้างทางวิชาการเท่านั้น
พี่โอ๋ ครับ
แซวกันได้ ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ตัวขาว ซะเมื่อไหร่กันล๊ะครับ
วันนรี้ผมใช้เวลาอ่านบันทึกย้อนหลังนานพอสมควรครับ Get ได้หลายประเด็นมาก แต่ผมใช้เน็ต GPRS (ที่ต่อเสาสัญญาณมือถือด้วย) มาตลอดในช่วงหลัง ๆ หลุดบ่อย และช้ามาก เลยแปลงเป็นบันทึกได้น้อยลงครับ
พี่เมตตา ครับ
หากมีตรงไหนที่ทำให้เข้าใจยากบอกด้วยนะครับจะได้ปรับ ก่อนหน้าจะตอบ คห.พี่ผมแก้ไขคำผิดไป 2 จุด ซึ่งน่าจะทำให้อ่านแล้วงงนะครับ หรือว่าแก้ไขยังไงก็อ่านยากอยู่ดี (ยิ้ม)
พี่เมตตา ครับ
ยากจริง ๆ เหรอครับ ผมว่าก็งั้น ๆ นะพี่ พี่ว่าควรปรับตรงไหนบ้างดีล๊ะครับ บอกทางเมล์ก็ได้นะครับ
เป็นประเด็นที่น่าสนใจดีค่ะ แต่มองอีกแง่หนึ่ง บางทีถ้าทุกคนแก้ปัญหาของตัวเองให้ดีแล้วซึ่งนั่นก็คืออยู่อย่างมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนใครและเกื้อกูลคนอื่นเท่าที่ทำได้ ปัญหาของสังคมก็คงจะน้อยลง
ซึ่งถ้าหากแค่ตระหนักรู้และพยายามแก้ปัญหาของตนเอง ก็ค่อนข้างจะยาก ยังคิดว่าตนเองยังทำไ้ด้ไม่ดีนักค่ะ อยากจะใช้ศักยภาพของตนเองให้เป็นประโยชน์ให้มากกว่านี้ คิดว่าการประพฤติปฏิบัติตามของคนอื่นนั้นเขาดูจากการกระทำของเรา ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว เราก็จะเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้สังคมดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะไปแบบช้า ๆ ก็ตาม
อยากเห็น ทฤษฎีความตระหนัก อย่างเป็นบทความวิชาการน่ะค่ะ พอจะหาให้ดูได้บ้างมั้ยคะ
ความตระหนักนี้ต้องเป็นความตระหนักร่วม ฐานที่มาต้องมาจากกระบวนการที่ดีที่ได้ความตระหนักในปัจเจก หลอมรวมกันเป็นความตระหนักร่วม ซึ่งอาจจะถูกส่งผ่านไปรวมกันยังแหล่งที่เป็นพลังการเมืองเพื่อก่อเกิดเป็นนโยบายสาธารณะ
....
ความสำคัญอยู่ตรงที่เราได้ความตระหนักร่วมมานั้นจริงหรือไม่
เห็นจริงด้วยค่ะ ทุกสิ่งอย่างต้องมาจาก ความจริงใจ
ความตระหนักต่อเป้าหมายรวม บนพื้นฐานจุดยืน หลักการเดียวกัน
....
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาเรียนรู้ให้เข้าใจ...ในการตะหนักร่วม หรือ ร่วมกันตระหนัก
ขอบคุณนะคะช่วยกระตุ้มต่อมคิดให้ได้คิด ......