ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คือประเด็นสำคัญของปรัชญายุคใหม่ เบื้องต้นก็มีอยู่ ๒ สำนัก คือ พวกเหตุผลนิยม และประจักษ์นิยม
พวกเหตุผลนิยม ก็คือพวกฝรั่งเศส เช่น เดการ์ด และ ไลน์นิซ พวกนี้ ยึดถือว่า ความรู้เกิดขึ้นได้จากกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีเหตุมีผล ถ้าเราคิดอย่างมีระบบแล้วก็จะเกิดความรู้ หรือเราจะเข้าถึงความรู้ที่เป็นจริงได้ก็ด้วยกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล
พวกนี้ถือว่า คนเรานะมีความรู้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดซึ่งอยู่ภายในใจของเรา เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานมา ถ้าเราใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบแล้ว เราก็จะเข้าถึงความรู้นั้น...ประมาณนี้แหละ
พวกประจักษ์นิยม ก็คือพวกอังกฤษ เช่น ล้อค และ ฮอบส์ พวกนี้ ยึดถือว่า ความรู้เกิดจากการรับรู้จากประสบการณ์ภายนอกเป็นเบื้องต้น กล่าวคือ เรารับรู้โลกภายนอกได้โดยผ่านประสาทสัมผัส (ตา หู จมูก ...) แล้วก็จะเข้าสู่ใจ จึงไปถักทอเป็นความรู้ขึ้นมา
พวกประจักษ์นิยมนี้ ไม่ยอมรับความรู้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด พวกเค้าถือว่า ใจแรกเริ่มนั้นเหมือนผ้าขาวมิได้มีอะไร สิ่งที่เรารับรู้จากภายนอกต่างหากที่เข้าไปประทับไว้และก่อเกิดให้เป็นรูปหรือสิ่งต่างๆ ...ประมาณนี้แหละ
เมื่อความคิดพื้นฐานแตกต่างกัน ทั้งสองฝ่ายก็มีพัฒนาการด้านอื่นๆ แตกต่างกัน แต่มิใช่ประเด็นที่จะนำมาโยงถึง จึงผ่านไป ...
ต่อนักปรัชญาชาวสะก็อตชื่อ เดวิด ฮูม (Hume คนไทยเรียกกันว่า ฮูม บ้าง ฮิวม์ บ้าง ) ตั้งประเด็นสงสัยขึ้นมาเกี่ยวกับปัญหาของแนวคิดทั้งสองฝ่าย และ เอมมานูเอล คานต์ ชาวเยอรมันได้สร้างระบบขึ้นมาเพื่ออธิบายธรรมชาติของความรู้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ผู้เขียนจะขยายความต่อไป
นมัสการ ท่าน BM.chaiwutครับ
ผมมาติดตามเก็บประเด็นเรียนรู้ครับท่าน!!! กระผมขอแสดงตัวนะขอรับ แต่ยังไม่ต่อยอดประเด็นนี้
คนในอดีตอันไกลโพ้น เขาเคิดได้อย่างไรหนอ ว่า "คนได้ความสามารถเชิงเหตุผลมาแต่เกิด" คือ ได้มาโดยพันธุกรรม ? ช่างหลักแหลมเสียจริงๆ !! และมีความมั่นใจในความคิดถึงกับประกาศตั้ง "ลัทธิเหตุผลนิยม" หรือ Rationalism !! ขึ้นมาเสียด้วย และยิ่งกว่านั้น คนในสมัยปี ๒๕๕๐ ก็ยังยอมรับ !!!
มันน่ามห้ศจรรย์เสียจริงๆนะพระคุณเจ้า ผมชื่นชมไม่เสื่อมคลายจริงๆครับ
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว |
รู้สึกปลื้ม ที่อาจารย์มาเยี่ยมอีกครั้ง....
เรื่องธรรมดาอาจารย์ (ตอบทำนองนี้ไม่ต้องคิดค้นหาคำตอบ 5 5 5)...
ตามประสบการณ์ส่วนตัว แนวคิดเชิงปรัชญาบริสุทธิ์ คือ ความรู้ และ ความจริง ที่เรียนๆ อยู่กันในปัจจุบัน คนคิดได้มาเกินกว่าสองพันปีแล้ว และความคิดทำนองนี้ก็มีอยู่ตามแหล่งอารยธรรมโบราณทั่วโลก...
มีเพื่อนรุ่นน้องระดับลูกศิษย์ของอาตมาคนหนึ่ง เมื่อก่อนเค้าคิดว่า ความคิดของเค้าสุดยอด ไม่เหมือนใคร แต่พอมาเรียนปรัชญา.... เค้าจึงรู้ว่า สิ่งที่เค้าคิดนั้น คนคิดมานานแล้ว และคิดได้ลึกซึ้งเป็นระบบกว่าของเค้ามากยิ่งนัก... พอเรียนจบ เค้าก็เลยลาสิกขา (สึก) กลับไปเฝ้าสวนยาง...
เค้าคนนี้ เคยบวชเณรสมัยเด็กๆ ได้ ป.ธ. ๓ แล้วลาสิกขาไปใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ ๓-๔ ปี ก็กลับมาบวชเป็นพระ ด้วยมุ่งหวังจะมาเรียนปรัชญา นำเสนอแนวคิดของตน... พอจบป.ตรี ก็ลาสิกขากลับไปเฝ้าสวนยาง ตอนนี้ก็มีครอบครัวมีลูกแล้ว...
พอดีความเห็นของอาจารย์นำไปเชื่อมโยงเกี่ยวกับเค้าคนนี้ ก็เลยเล่าเล่นๆ เพราะไม่ได้ติตต่อเค้าหลายปีแล้ว....
อาจารย์พบใครบางคนที่มั่นใจว่า ตัวเองมีความคิดสุดยอดไม่เหมือนใคร ลองบอกว่าไปเรียนปรัชญาดู จะรู้เลยว่า เค้ามีความคิดสุดยอดจริงๆ หรือไม่...ประมาณนั้น
เจริญพร
ครับ ช่างสุดยอดจริงๆ !!
เราพัฒนาไปมากปัจุบันนี้ก็เพราะ เราต่อยอดจากพวกเขาส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่ง เราได้จากการโต้แย้ง คือไม่ตาม -- ไม่ต่อยอดจากของพวกเขา -- ดังนั้นการ โต้เถียงก็ก้าวหน้าได้เหมือนกัน
ข้อเสียก็คือ คนอีกจำนวนหนึ่งไม่ยอมเถียง คือ "คล้อยตามอย่างหมดใจ" โดยคิดว่า นั่นถูกแล้ว ผิดไม่ได้ !! จึงใช้หัวตัวเองเป็นโกดังเก็บของ ! ท่องจำเข้าไว้
ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ถ้าคนเหล่านี้มามีอาชีพเป็นครู !!!
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว
เป็นเรื่องธรรมดา (อีกแล้ว) ท่านอาจารย์....
ไม่แน่ใครแล้วจำแนกความรู้ไว้ ๒ นัย กล่าวคือ
การศึกษาไทย ค่อนข้างจะชื่นชมความรู้แบบถังเก็บของ ส่วนความรู้แบบไฟฉายนั้น โดยมากมักจะไม่ได้รับการยอมรับ จนกว่า.....
อาจารย์เขียนเรื่องการวิจัยเยอะ คงจะเข้าใจว่า การวิจัยในระบบการศึกษาไทยสนับสนุนการสร้างความรู้แบบไฟฉายหรือไม่ ?
อาตมาก็เริ่มบ่นอีกแล้ว (............)
เจริญพร