มัธยมศึกษา ต่างส่งเสริมให้นักเรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้
ด้วยสาเหตุที่ว่า เป็นกิจกรรมที่นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ และสอดคล้องกับ
พระราชบัญญัติการศึกษาฉบับปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนมีการพัฒนาโดยให้รู้จัก คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้ และให้จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การให้นักเรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองพระราชบัญญัติการศึกษาดังกล่าวได้ ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะได้ยินข่าวอยู่เสมอว่าการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้ค้นพบเทคโนโลยีระดับพื้นฐานราคาถูกที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างแพร่หลาย ซึ่งการทำโครงงานวิทยาศาสตร์นี้เป็นการฝึกให้นักเรียนคิดเป็น ทำเป็นและใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม ฝึกการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นักเรียนได้มีโอกาสศึกษาในเรื่องที่ ลึกกว่าหลักสูตร ทำให้มีความรู้มากกว่าเรียนปกติในห้องเรียน นอกจากนี้ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือทำให้มีจิตใจเป็น นักวิจัย ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ดังนั้นการที่นักเรียนได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์จึงนับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการฝึกให้นักเรียนรู้จักการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และยังสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติในปัจจุบันที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นสำคัญอีกด้วยขณะเดียวกันการที่นักเรียนสามารถทำ โครงงานวิทยาศาสตร์ได้นั้น จะต้องได้รับคำแนะนำ ดูแลเอาใจใส่จากอาจารย์ที่ปรึกษาในโครงงานวิทยาศาสตร์ด้วย
บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์นั้น เป็นสิ่งจำเป็น
อย่างยิ่งในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ต้องเป็นบุคคลที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ
โครงงานวิทยาศาสตร์แก่นักเรียน คอยกระตุ้นให้นักเรียนมองเห็นปัญหาจนกระทั่ง
เกิดความคิดที่จะทำโครงงานวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังคอยดูแลให้เกิดความปลอดภัย
ให้กำลังใจแก่นักเรียนตลอดระยะเวลาที่ทำโครงงานวิทยาศาสตร์จนกระทั่งสำเร็จ
ดังนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อนักเรียนอย่างยิ่งในการให้
คำแนะนำในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
บุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ได้แก่
ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ทุกรายวิชา เพราะครูวิทยาศาสตร์ทุกคนย่อมมีความรู้และ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการทำงานโครงงาน-
วิทยาศาสตร์อยู่แล้ว เพียงแต่ครูวิทยาศาสตร์บางคนยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ให้ละเอียด ซึ่งสามารถศึกษาได้จากการเข้ารับการอบรม การศึกษาด้วยตนเองจากเอกสารต่าง ๆ ผู้ที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรรู้ ขั้นตอนในการทำโครงงาน ซึ่งแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การคิดหัวเรื่องโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปหัวเรื่องของ
โครงงานวิทยาศาสตร์มักจะได้จากปัญหา คำถาม หรือความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวต่าง ๆของนักเรียน
ขั้นที่ 2 การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยทำให้นักเรียนได้แนว
ความคิดและกำหนดขอบเขตการทำโครงงานได้เหมาะสม
ขั้นที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการออกแบบ
วางแผนกำหนดรายละเอียดทั้งวัสดุอุปกรณ์ วิธีการและตารางปฏิบัติการทำโครงงาน
วิทยาศาสตร์ เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะต้องนำเค้าโครงให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณา
ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติการ เป็นขั้นตอนที่นักเรียนต้องลงมือปฏิบัติการเก็บ
ข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปผลเพื่อรวบรวมทำเป็นรายงานต่อไป
ขั้นที่5 การทำรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
เป็นเอกสารที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ทั้งหมด แบ่งเป็น
3 ส่วน คือ ส่วนหน้า ส่วนเนื้อความ และส่วนท้าย
ขั้นที่ 6 การแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นตอนที่แสดงผลการผลิตของความคิด ความพยายามของคณะผู้จัดทำโครงงานให้ผู้อื่นรับรู้ ส่วนมากนำเสนอในรูปแบบของแผงแสดงโครงงาน
จากขั้นตอนดังกล่าวทั้ง 6 ขั้นตอนนี้อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ต้องเข้าใจ และให้ความสนใจ มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นให้นักเรียนทำงานให้สำเร็จและที่สำคัญคือต้องคอยดูแลนักเรียนอย่างเป็นขั้นตอนสม่ำเสมอต้องพยายามศึกษากลวิธีต่าง ๆ ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
กลวิธีของอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ทำได้หลายวิธีดังนี้
1. การพานักเรียนเข้าชมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ทำให้นักเรียนได้เห็นโครงงานวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย และได้เห็นบรรยากาศทางวิชาการ
2. การเชิญวิทยากรมาอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีที่นักเรียนสามารถรับรู้ข้อมูลได้ละเอียด จัดว่าเป็นวิธีการที่สะดวกและได้ผลดี
3. การให้รุ่นพี่หรือผู้ที่เคยผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์มาเล่า
รายละเอียด และประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ฟัง
4. การจัดค่ายฝึกทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จัก
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ทั้งความรู้ กระบวนการทำงาน และกิจกรรมทางนันทนาการอีกด้วย
5. การพานักเรียนไปทัศนศึกษาสถานที่ประกอบการจริงทำให้นักเรียนได้ข้อมูลแนวคิดกว้างไกล มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
6. เปิดสอนวิชาเลือกเสรีวิชาวิทยาศาสตร์รายวิชา ว 014 เริ่มต้นกับ
โครงงานวิทยาศาสตร์ และ ว 017 โครงงานวิทยาศาสตร์กับคุณภาพชีวิต ขึ้นในโรงเรียน
7. ขยายผลจากการเรียนหรือการทดลองในห้องเรียนในรายวิชาต่าง ๆ
8. จัดตั้งชุมนุมวิทยาศาสตร์แล้วมีการเลือกทำโครงงานวิทยาศาสตร์ใน
คาบชุมนุมนั้น
9. การแนะนำให้ดูรายการโทรทัศน์ที่มีสาระเกี่ยวกับการทำโครงงาน
วิทยาศาสตร์ เช่น รายการ ไอคิว180 รายการจุดประกาย เป็นต้น
10. สนับสนุนให้การศึกษาค้นคว้าความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น
ห้องสมุดต่าง ๆ หรือแหล่งความรู้ในท้องถิ่นของตน
จากกลวิธีดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะต้องจัดให้เกิดขึ้นไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่งที่คิดว่าเหมาะสมเพื่อจุดประกายและช่วยเหลือนักเรียนให้
เข้าใจถึงเทคนิคและวิธีการในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
เมื่อนักเรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์สำเร็จสมบูรณ์แล้ว ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงผลงานการศึกษาของตนเอง ซึ่งการเผยแพร่ผลงานโครงงาน-
วิทยาศาสตร์นิยมทำกัน 2 รูปแบบคือ
1. การประชุมวิชาการเชิงวิทยาศาสตร์ การเสนอผลงานแบบนี้มักใช้
แผ่นโปร่งใสประกอบการบรรยาย ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
2. การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบ่งเป็นหลายระดับคือ
2.1 ระดับกลุ่มโรงเรียน
2.2 ระดับจังหวัด
2.3 ระดับภาค
2.4 ระดับประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการประกวดโครงงานระดับใดก็ตามจะเป็นจุดนัดพบให้นักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เปรียบเทียบความแตกต่าง
ทำให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ผู้เข้าชมจะได้เห็นบรรยากาศทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ได้ความรู้และจุดประกายความคิดให้ตนเองที่จะทำ
โครงงานวิทยาศาสตร์ขึ้นมาบ้าง ส่วนนักเรียนผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาส
เล่าให้ผู้ชมฟังว่า คณะของตนเองคิดอย่างไร ทำอย่างไร และได้ผลอย่างไรจึงเกิด
โครงงานวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ดังนั้นการที่นักเรียนจะนำโครงงานวิทยาศาสตร์ออกเผยแพร่จึงต้องได้รับการพิจารณาจากอาจารย์ที่ปรึกษา จากโรงเรียนของตนว่าเป็นโครงงาน
วิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะที่ดี มีการทำงานตามขั้นตอนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขั้นตอนของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และมีการใช้ต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป มีการ
ประยุกต์ความรู้จากห้องเรียน และรู้จักดัดแปลงอุปกรณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ มีความระมัดระวังในการนำสัตว์มาใช้ในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ไม่ทำให้
สิ่งแวดล้อมเสียหาย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการนำผลงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ ของตนเองมาเผยแพร่ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันการพานักเรียนไปประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นั้น
อาจารย์ที่ปรึกษาจะต้องศึกษาระเบียบการและกำหนดการ การประกวดโครงงานวิทยา-ศาสตร์ให้ละเอียด และต้องปฏิบัติตามอย่างครบถ้วน โดยเริ่มตั้งแต่การส่งรายงาน ซึ่งกรรมการตัดสินจะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก ดังนั้นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์จึงควรทำให้ประณีต เนื้อหาสาระครบถ้วนตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์เขียนได้หลายแบบแต่ที่เขียนกันนั้นประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
1. ปกนอก (ให้เขียนตามแบบฟอร์มที่สมาคมวิทยาศาสตร์กำหนดไว้)
2. ปกใน (ให้เขียนตามแบบฟอร์มที่สมาคมวิทยาศาสตร์กำหนดไว้)
3. คำขอบคุณ
4. บทคัดย่อ
5. สารบัญ
6. บทที่ 1 บทนำ
7. บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
8. บทที่ 3 วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทดลอง
9. บทที่ 4 ผลการศึกษาทดลอง
10. บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผล
11. บรรณานุกรม
12. ภาคผนวก
จากหัวข้อทั้ง 12 หัวข้อนี้จะเห็นได้ว่าการเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
นั้นได้ยึดแนวการเขียนรายงานแบบงานวิจัย ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์จะต้องแนะนำให้นักเรียนทราบในเรื่องนี้ด้วย
หลังจากที่ส่งรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์จะต้องให้นักเรียนได้เตรียมตัวเพื่อที่จะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปติดตั้งตามผัง
ที่จะต้องจัดแสดง ซึ่งการแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์นั้นนิยมทำเป็นผังโครงงานซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนดังนี้
60 Cm |
120 Cm |
60 Cm |
60 Cm |
60 Cm |
ค |
ก |
ภาพที่ 1 ผังมาตรฐานที่ใช้จัดแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์
ส่วน ก มีความกว้าง 60 เซนติเมตร และด้านยาว 60 เซนติเมตรภายใน
เนื้อที่นี้ประกอบด้วย ชื่อโรงเรียน ชื่อผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
และจุดมุ่งหมายของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ในเรื่องนั้น
ส่วน ข มีความกว้าง 60 เซนติเมตร และด้านยาว 120 เซนติเมตร ภายในเนื้อที่นี้ประกอบด้วยชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่มา และความสำคัญของโครงงาน อุปกรณ์ ทฤษฎีและหลักการ วิธีปฏิบัติการ ตารางบันทึกผล และสรุปผล
ส่วน ค มีความกว้าง 60 เซนติเมตร และด้านยาว 60 เซนติเมตร ภายใน
เนื้อที่นี้ประกอบด้วยประโยชน์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และ ข้อเสนอแนะ
ถ้าผลงานจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์มีปริมาณมากทางสมาคม
วิทยาศาสตร์ได้อนุญาตให้ขยายเฉพาะส่วน ข เพิ่มขึ้นไปทางด้านบนได้อีกโดยกำหนดให้มีความกว้าง 60 เซนติเมตร และความยาว 120 เซนติเมตร
ดังนั้นบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาจึงต้องทราบขนาดของผังที่ใช้จัดแสดง
และต้องบอกกล่าวให้นักเรียนเตรียมตัวในการเขียนข้อความให้กระชับและเข้าใจง่าย
ที่สุดภายใต้พื้นที่ที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่มีการแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์อยู่นั้น ผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์จะต้องอยู่ประจำผังโครงงานเพื่อคอยอธิบายให้ผู้สนใจ
ได้รับความรู้อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งขณะนั้นคณะกรรมการตัดสิน
โครงงานวิทยาศาสตร์จะเข้าทำการสัมภาษณ์นักเรียนผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ในขั้นตอนนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ควรปล่อยให้นักเรียนได้บรรยาย และตอบคำถามได้อย่างอิสระ การมาร่วมประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ อาจารย์ที่-
ปรึกษาและนักเรียนผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ควรจะทำความเข้าใจกันล่วงหน้าว่า ควรมุ่งหาความรู้ ประสบการณ์ชีวิตมากกว่ามุ่งหวังผลแพ้ชนะ เพราะทุกโครงงานที่เข้า
ประกวดจะได้รับเกียรติบัตรจากคณะกรรมการการจัดประกวดแล้ว
จากสิ่งต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมานี้ชี้ให้เห็นว่าบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษานั้นจะต้องเป็นผู้มีความรู้ กลวิธีต่าง ๆ มีความพร้อม มีการเตรียมตัวตลอดเวลา ต้องทันโลก
ทันเหตุการณ์และต้องมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาและนอกจากนี้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ยังเป็นกิจกรรมที่ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น
และอาจารย์ที่ปรึกษายังได้ประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนอีกด้วยการได้พบปะ
สนทนากับเพื่อนครูวิทยาศาสตร์ต่างโรงเรียน การได้สอบถามนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ทำให้ครูมีความคิดแปลกใหม่ สามารถคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนได้ดีขึ้น ใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นมากขึ้น จากการที่อาจารย์ที่ปรึกษาใช้ความเพียรพยายามส่งเสริมสนับสนุน และแนะนำช่วยเหลือ จนกระทั่งนักเรียนมีความรู้ความสามารถ รู้จักคิด รู้จักทำ และรู้จักการแก้ปัญหา ซึ่งถูกแสดงให้เห็นออกมาในรูปของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์นั้นย่อมส่งผลต่อนักเรียนให้มีเจตคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ คิดอยากจะประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ในภายภาคหน้าซึ่งส่งผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาคน พัฒนาชาติและยังสามารถตอบสนองพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบันที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้เป็นสมองของประเทศชาติเสมือดังคำขวัญที่ว่า พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อปรับปรุงการเขียนให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป
ไม่มีความเห็น