หน้าแรก
สมาชิก
นาย อาทิตย์ คำสังวาล
สมุด
นวัตกรรมแห่งการเร...
การเพาะเลี้ยงเนื้...
นาย อาทิตย์ คำสังวาล
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
ป
ระเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลายรวมถึง
พืชสมุนไพรซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ และใน
ปัจจุบันการใช้พืชสมุนไพรได้รับความสนใจมากขึ้นจึงควรมีการอนุรักษ์ ปรับปรุงพันธุ์ ขยายพันธุ์
และส่งเสริมการเพาะปลูกอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสนับ
สนุนการใช้สมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเองในด้านยาให้มากขึ้น
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (
Plant tissue culture)
เป็นศาสตร์ด้าน
biotechnology
สาขาหนึ่ง
โ
ดยนำเซลล์เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อเจริญของพืชมาเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ (
synthetic medium)
ในสภาพปราศจากเชื้อ (
aseptic condition)
ภายใต้การควบคุมสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง และความชื้นเป็นต้น โดยทั่วไปการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนิยมเนื้อเยื่อจากต้นอ่อน
ที่ได้จากการเพาะเม็ดแบบปราศจากเชื้อ
(aseptic technique)
เพราะทุกชิ้นส่วนของต้นอ่อนสามารถ
นำมาใช้เป็นเนื้อเยื่อตั้งต้นในการเพาะเลี้ยงส่วนเนื้อเยื่อหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ได้จากพืชต้องนำมาฆ่าเชื้อ
ที่บริเวณผิว (
surface sterilization)
ก่อนนำไปใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช สามารถทำได้บนอาหาร
วุ้นกึ่งแข็ง (
agar medium)
และในอาหารเหลว (
liquid medium)
ซึ่งอย่างหลังนิยมทำบนเครื่องเขย่า
(shaker)
เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ หลังจากเลี้ยงเนื้อเยื่อไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง ต้องมีการถ่าย
เนื้อเยื่อลงอาหารใหม่ (
subculturing)
เนื่องจากอาหารเดิมลดน้อยลง และของเสียที่เซลล์ขับออกมา
เพิ่มมากขึ้น
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชกำเนิดมาจากหลักการ
totipotency
ที่ว่า
"
เซลล์พืชเดี่ยว ๆ (
singlecells)
ทุกเซลล์มีลักษณะและองค์ประกอบทางพันธุกรรมสมบรูณ์เหมือนต้นแม่ ซึ่งสามารถ
เจริญและพัฒนาเป็นต้นพืชทั้งต้น (
whole plant)
ได้"
เซลล์พืชเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ที่เจริญเต็มที่
(nature cell)
หรือเนื้อเยื่อที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะอย่าง (
differentiated tissue)
ได้แก่
เนื้อเยื่อใบ สามารถเจริญและแบ่งตัวเป็น
callus
หรือพัฒนาเป็นอวัยวะ (
organ)
เช่น ยอดอ่อน (
shoot)
และราก (
root)
ซึ่งสามารถเจริญต่อไปเป็นต้นพืชทั้งต้นได้ ในทางเดียวกัน
callus
ซึ่งเป็นก้อนของกลุ่ม
parenchyma cells
ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง (
undifferentiated cells)
สามารถเจริญและแบ่งตัวเป็น
callus
หรือพัฒนาเป็นยอดอ่อน และ ราก ขึ้นกับการกระตุ้นของ
plantgrowth regulator
ที่เหมาะสม
จากหลักการนี้ได้มีการประยุกต์เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชไปใช้ประโยชน์ในทางเกษตร
กรรมต่าง ๆ
1
อาทิเช่น
-
ใช้ในการขยายพันธุ์พืช (
micropropagation)
โดยเฉพาะพืชที่มีค่าทางเศรษฐกิจ พืชที่มี
ปัญหาด้านการเพาะปลูกเนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม และพืชสมุนไพรที่หายาก
-
การเลี้ยงเนื้อเยื่อสามารถทำให้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง (
high yield)
เพิ่มความต้านทานหรือ
เพิ่มความทนทานต่อความแห้งแล้ง จึงนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืช (
plant breeding)
-
ต้นพืชที่พัฒนาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญในสภาพปราศจากเชื้อ จึงใช้ในการแยกและ
เลี้ยงพืชปลอดโรคได้ ได้แก่ การกำจัดโรคไวรัสในพืช
-
การผสม
protoplast (
เซลล์พืชที่ถูกย่อย
cell wall
ออก เหลือแต่
cell membrane
บาง ๆ) ของพืชสองชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้ได้พืชพันธุ์ใหม่ที่รวมคุณลักษณะดีของพืชสองชนิดไว้
ด้วยกัน
-
การเก็บรักษาพันธุ์ (
germplasm)
ไว้ได้เป็นระยะเวลานาน โดยเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่
อุณหภูมิต่ำ ๆ เมื่อต้องการนำมาใช้ จึงทำการถ่ายเนื้อเยื่อลงสู่อาหารสังเคราะห์
นอกจากประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรม ยังมีการประยุกต์ใช้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อการ
ผลิตสารทุติยภูมิ
(secondary metabolites)
ที่มีประโยชน์ทางอุตสาหกรรม หรือ การเลี้ยงเนื้อเยื่อ
พืชสมุนไพรเพื่อผลิตสารที่มีฤทธิ์ทางยา โดยเริ่มจากการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรในอาหารกึ่งแข็ง
หรืออาหารเหลวแล้วหาวิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ ไปกระตุ้นให้เซลล์พืชผลิตสารให้มากขึ้น ได้แก่
การปรับเปลี่ยนสูตรอาหาร การปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมที่มีผลต่อสารสำคัญนั้น ๆ การเติมสาร
ตั้งต้น
(precursors)
ของขบวนการซึ่งสังเคราะห์(
biosynthetic pathway)
ลงในอาหารเลี้ยง
เซลล์ และการเหนี่ยวนำเซลล์พืชให้เกิดความเครียด (
stress)
เป็นต้น
ข้อได้เปรียบของการใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการผลิตสารทุติยภูมิเพื่อประโยชน์
ในทางการค้า เหนือกว่าการปลูกแบบดั้งเดิม หลายประการดังนี้
1,2
1.
สามารถกำหนดและควบคุมสภาวะมาตรฐานในการเจริญเติบโตได้แน่นอน
2.
ไม่มีการผันแปรทางสภาพภูมิอากาศและฤดูกาล
3.
ใช้ระยะเวลาในการเพาะปลูกสั้น
4.
สามารถควบคุมปริมาณการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด
5.
สามารถควบคุมคุณภาพของสารทุติยภูมิให้คงที่
6.
การสกัดแยกสารทุติยภูมิทำได้ง่ายกว่า ลดต้นทุนการผลิต
ตัวอย่างการผลิตสารทุติยภูมิจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่ประสบความสำเร็จได้แก่ การ
ผลิตสาร
shikonin
ซึ่งเป็นสารสีแดง (
red pigment)
และเป็นยาฝาดสมานลดการอักเสบสำหรับ
ใช้ในเครื่องสำอางค์ โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
Lithospermum erythrorhizon
ในอาหารเหลว
ซึ่งนับเป็นงานวิจัยแรกที่สามารถใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อการผลิตสารทุติยภูมิใน
ระดับอุตสาหกรรม โดยบริษัท
Mitsui Petrochemical Industrial Limited
ประเทศญี่ปุ่น ในปี
พ.ศ.
2525
2
ต่อมาบริษัท
Nitto Denko Corporation
ได้ทำการจดลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์
ginsenoside
จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
Panax ginseng
ในปี พ.ศ.
2534
3
และบริษัท
Mitsui Petrochemical Industrial Limited
ได้ผลิตสาร
purpurin
จาก
Rubia akane
โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ในปี พ.ศ.
2538
3
ดังนั้นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อการผลิตสารทุติยภูมิที่มีฤทธิ์ทางยา มีศักยภาพและความ
เป็นไปได้สูงที่จะนำมาใช้ผลิตสารทุติยภูมิแทนการสกัดจากพืชทั้งต้น อย่างไรก็ตามการศึกษาวิจัย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรส่วนใหญ่ประสบปัญหาเนื่องจากสารสำคัญที่ได้มีปริมาณต่ำ และ
สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงมักมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมได้ง่าย ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่คงที่หรือ
ลดต่ำลง ฉะนั้นงานวิจัยทางด้านนี้ยังต้องการผู้ทำงานวิจัยหลาย ๆ ด้านมาทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนา
ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ที่วางไว้
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นาย อาทิตย์ คำสังวาล
ใน
นวัตกรรมแห่งการเรียนรู้
คำสำคัญ (Tags):
#การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
หมายเลขบันทึก: 69271
เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2006 15:27 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 13:19 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นาย อาทิตย์ คำสังวาล
สมุด
นวัตกรรมแห่งการเร...
การเพาะเลี้ยงเนื้...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท