นาย ก. รับราชการมาเป็นเวลาหนึ่ง ครั้นเป็นผู้บริหารจึงใช้ช่องว่างของสิ่งที่คนจำนวนหนึ่งกระทำ นั้นคือ ขอส่วนแบ่ง ๑๐% จากงบที่ตนอนุมัติให้ผู้รับเหมาะก่อสร้าง หากไม่ให้ก็จะให้ผู้รับเหมาก่อสร้างรายอื่น วันหนึ่ง เรื่องนี้แดงขึ้น โดยมองว่าเป็นเรื่องทุจริตในวงราชการ มีการสอบสวนจากกรรมการ นาย ก. ปฏิเสธการรับเงินนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ นาย ก. จึงไม่ถูกออกจากราชการ ทั้งที่รู้ดีว่า เขาทำอยู่อย่างนี้ตลอด ยังไม่นับถึงการกลั่นแกล้งและกีดกันเพื่อนราชการด้วยกัน
นาย ข. ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ไม่สามารถจะเรียนให้จบได้ จึงกลับมาโดยมิได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ถูกยกเป็นกรณีศึกษา นาย ข.รับผิดว่าตนได้ทำอย่างนั้นจริงแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิด และกลับมาก็ยังปฏิบัติหน้าที่ในราชการตามปกติมิได้บกพร่อง เพียงแต่ไม่ได้รายงานให้ทราบ นาย ข. ถูกวินิจฉัยให้ออกจากราชการ
นาย ค. ไม่ได้ร้บราชการ หากแต่เป็นพนักงาน (ลูกจ้าง) ของหน่วยงานราชการ วันหนึ่งเพื่อนของนาย ค. ไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยหนักที่ต่างจังหวัด และไม่สามารถกลับมาได้ทันจริงๆ จึงขอให้นาย ค. ช่วยเซ็นชื่อให้ด้วย เพราะไม่อยากทำใบลาป่วย เนื่องจากตนไม่ได้ป่วย นาย ค. ถูกยกเป็นกรณีศึกษาในฐานปลอมแปลงลายเซ็น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหํ กมฺมํ วทามิ เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม นั้นหมายความว่า การที่จะเป็นกรรมได้นั้นจะต้องมีเจตนาเป็นจุดแรก ในทางกฎหมายเป็นอย่างไรอันนี้คงต้องให้นักกฎหมายตีความ ผมเพียงเคยเข้าไปอบรมกฎหมาย ทราบว่า ต้องดูเจตนารมย์ของกฎหมายเป็นหลัก มิใช่หลับตาว่ากฎก็ต้องเป็นกฎ กฎต้องเป็นกฎมีเพียงมนุษย์หุ่นยนต์
กฎหมายมีไว้ให้นักกฎหมายตีความ
เราไม่ใช่นักกฎหมายเราเลยตีความผิดๆถูกๆ
กฎระเบียบมีไว้กันไม่ให้เกิดปัญหา
แต่ปัญหามีไว้แก้เพื่อออกเป็นกฎระเบียบ
วนเวีนยกันไม่จบอยู่อย่างนี้ทั้งปัญหาและกฎหมาย