มัทนา
มัทนา (พฤกษาพงษ์) เกษตระทัต

ดูงาน: ชุมชนที่เสื่อมโทรมที่สุดของเมืองแวนคูเวอร์ (2)


มุมมองเรื่อง DTES จาก อดัม และ ครูไมเคิล

[อ่านตอนที่ 1ได้ที่นี่ค่ะ]

เมื่อวานได้บันทึกเกริ่นไปนิดหน่อย ว่าเมืองแวนคูเวอร์มีชุมชนเสื่อมโทรมอยู่กระจุกหนึ่ง พื้นที่โดยรวมก็ ราวๆ 205 เฮคเตอร์ (5,000 กว่าไร่) จำนวนประชากรประมาณ 17,000 คน ปัญหาที่พบคือ ความจนและเจ็บ แบบเรื้อรัง 

ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้ ไม่ว่าจะอยู่บนถนน หรือ ในห้องพัก นั้น ดูเผินๆแล้วหลายๆคนก็จะคิดว่า น่ารังเกียจ สกปรก เหม็น สติไม่ดี อันตราย เป็นอาชญากร ขี้เกียจ ทำไมไม่ทำงาน ทำตัวเองนิ ติดเหล้า ติดยา  เป็นโรคติดต่อ ทำให้เมืองดูไม่ดี  น่าจะต้องถูกจัดการอย่างจริงจัง 

คนที่คิดแบบนี้ก็มีเยอะซะด้วย ตอนที่ผู้เขียนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ แล้วนั่งรถผ่านแถวนั้นก็ กลัว ค่ะ มันก็ดูน่ากลัวจริงๆ ตอนนี้ไปเดินซื้อของแถวนั้นได้ค่ะ ไม่กลัวแล้ว

ทั้งนี้เพราะ่ผู้เขียนมีเพื่อนและครูที่ใจดี สอนให้มองแบบมีเมตตา

เพื่อนคนนึงชื่ออดัมบอกว่า "เนี่ยะ ไปลองเดินแถวนั้นดูสิ ไปบ่อยๆก็จะรู้และเห็นว่า มันก็คือชุมชนที่นึง ไปบ่อยๆเข้าก็จะเห็นคนหน้าตาซ้ำๆเดิม จะเริ่มจำได้ว่าใครเป็นใคร แต่ละคนเค้าก็มีชื่อนะ มีเรื่องราวชีวิตของเค้า ไปเหมาว่าเค้าเลว เค้าไม่ดีไปซะหมดคงไม่ถูกนัก" (เพื่อนคนนี้เรียน Urban planning ค่ะ)

ส่วนครู (supervisor) นั่นเป็นคนที่จุดประกายความชัดเจนในเรื่องนี้มากค่ะ

เคยคุยกันในหมู่เพื่อนๆและอ.ในกลุ่มวิจัยเดียวกัน
ครูไมเคิลเลยถามว่า "เอ้า แล้วถามจริงๆ จะให้ทำยังไงกับปัญหาคนพวกนี้" ไมเคิลบอกว่า "เมืองนี้เนี่ยะค่าที่อยู่อาศัยมันก็แพงจริงๆ แล้วถ้าคนที่เรียนมาน้อย มีปัญหาครอบครัว มีปัญหายาเสพติด มีปัญหาในการใช้ความคิดวางแผนชีวิต ถ้าสติก็ไม่ค่อยดี จะไปหางานทำได้ที่ไหนที่มีเงินมากพอที่จะหาบ้านได้ ดูแลตัวเองได้แบบเราๆท่านๆ คนที่อยู่ DTES ไม่ใช่ว่าจะติดยาทุกคนคนจนจริงๆแต่ไม่ติดยาก็มี หรือแม้แต่คนที่ติดยาหรือสติไม่ดีพวกนี้ เราจะไปมองว่าเค้าทำตัวเองอย่างเดียวเลยก็คง เป็นการมองที่่ "ง่ายเกินไป" เราอยู่ในสังคมเดียวกัน ร่วมโลกเดียวกัน ทำไมไม่คิดว่า ก็นี่แหละธรรมชาติ มันก็มีคนหลายแบบ ก็ต้องช่วยกันดูแล ก็หาวิธีดูแลแบบสร้างสรรค์ มันแก้ไม่ง่ายหรอก ปัญหาคงไม่หมดไปง่ายๆ จะให้เอาระเบิดไปลง ล้างพื้นที่เหรอ ทำไมไม่คิดว่า ทีเด็กที่เกิดมาพิการ เรายังรับได้ดูแลเค้าได้ ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุด แล้วคนพวกนี้ที่อยู่ DTES ต่างอะไร เพราะดูสกปรก เราเลยจะไม่ช่วยเค้าเหรอ"

ไมเคิลคุยต่อว่า "ถ้ารัฐมีเงินไม่พอจะเก็บภาษีเพิ่ม เค้าก็ยินดี" (ปัจจุบันภาษีรายได้ที่นี่ก็ 40% แล้วค่ะ) แต่เค้าบอกว่า ปัญหาอีกอย่างคือ คนส่วนมากบ่นว่าภาษีแพง โดยที่ไม่ดูว่าเงินที่ตัวเองต้องการเก็บไว้หน่ะ จะเอาไปทำอะไร ที่มีอยู่นี่มันไม่พอจริงๆเหรอ ไมเคิลยกตัวอย่างว่า บ้านที่เค้าอยู่เนี่ยะ 4 ห้องนอน อยู่กันสองคน (เพราะลูกๆ 3 คนโตกันหมดแล้ว แต่งงาน ย้ายไปอยู่ข้างนอก) เค้าบอกว่า เค้าเลือกที่จะอยู่แบบนี้เอง แล้วจะมาบ่นว่า ภาษีบ้าน ภาษีเงินได้แพงได้ยังไงน่าเกลียด ตราบใดที่คุณไม่ย้ายไปอยู่ห้องที่เล็กลง ให้พอเหมาะพอดีกับความต้องการในชีวิตจริงๆ ตราบใดที่คุณมีกินอุดมสมบูรณ์ คุณอย่ามาบ่นเลยว่าภาษีแพง มันเหมือนเถียงข้างๆคูๆ พูดอย่างทำอย่าง ถ้าเมื่อใดที่จ่ายภาษีซะหมด จนต้องลดระดับคุณภาพชีวิตลงแล้วค่อยมาบ่น ส่วนมากที่บ่นหน่ะเพราะเงินส่วนออมมันน้อยลง ถามว่าพอใช้ไม๊ มันก็พอ ที่แคนาดานี้เงินภาษีมันกลับมาทำประโยชน์ให้ก็มากอยู่" 

"The rich get richer, the poor get screwed" 

ภาพโดย eyeye@flickr

 

ภาพโดย eyeye@flickr 

 

"No house No peace" ภาพโดย eyeye@flickr

บันทึกนี้เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวจากเพื่อนและอ.ที่เคารพ

บันทึกหน้าจะมาแนะนำโครงการต่างๆใน DTES ค่ะ

โปรดติดตามตอนต่อไป 

[อ่านตอนที่ 3ได้ที่นี่ค่ะ]

 

หมายเลขบันทึก: 69052เขียนเมื่อ 24 ธันวาคม 2006 04:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 09:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท