ธนบัตรมหาบัณฑิต


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดครับ นอกเหนือไปจากคุณภาพการศึกษาต่ำแล้ว ยังมีสิ่งที่ต่ำกว่าคือ “ไม่มีการศึกษา” ใดๆ แต่มีใบปริญญาครับ โดยอาศัยระบบธนบัตรนำทาง
 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ยินมาแล้วก็ไม่สบายใจมากๆ แต่ผมไม่ขอยืนยันเป็นพยานปากเอกใดๆทั้งสิ้น เพราะผมก็เพียงได้ยิน เขาเล่าว่า มาเหมือนกัน ผมคิดอยู่นานพอสมควร ว่าเสนอแล้วจะเกิดผลลบหรือผลบวกมากกว่ากัน

 

ฉะนั้น ผมขอนำเสนอไปก่อน ในลักษณะสะกิดเตือน มารทางการศึกษา เผื่อใครจะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า จริง หรือไม่จริงอย่างไร และป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

  

ผมได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายครั้งหลายหน และข่าวกระเส็นกระสายจากวงการศึกษาซุบซิบกันว่า เดี๋ยวนี้มีปริญญา ที่ส่วนใหญ่จะเป็นมหาบัณฑิต ในรูปแบบใหม่สุดๆในหลายรูปแบบย่อย และที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุด ก็มาภายใต้คำเชิญชวนเข้าไปในระบบว่า จ่ายครบจบแน่

  

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดครับ นอกเหนือไปจากคุณภาพการศึกษาต่ำแล้ว ยังมีสิ่งที่ต่ำกว่าคือ ไม่มีการศึกษา ใดๆ  แต่มีใบปริญญาครับ โดยอาศัยระบบธนบัตรนำทางครับ

  

เท่าที่ทราบมีการใช้จ่ายเงินกันในหลายๆ รูปแบบ เพื่อให้ ใบปริญญา

  

ตัวอย่างแรกก็คือ มีระบบผู้รับจ้างเหมาเขียนวิทยานิพนธ์ แทนนักศึกษาโดยอาศัยการดัดแปลงข้อมูลเล็กๆ น้อย ๆ จากวิทยานิพนธ์ที่เคยมีอยู่เดิม อาจมีการเปลี่ยนชื่อผู้ให้ข้อมูล เปลี่ยนชื่อที่ตั้งของผู้ให้ข้อมูล แต่โครงสร้างส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิม ผมไม่ทราบว่า อาจารย์ที่อ่านวิทยานิพนธ์ เขาไม่สะกิดใจบ้างหรืออย่างไร ว่าวิทยานิพนธ์นี้ คุ้นๆตาอยู่ เพราะเคยอ่านมาแล้วหลายรอบ จบไปแล้วหลายคน หรือในบางกรณีเป็นนักศึกษารุ่นเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์คล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ต่างสถานที่เล็กน้อย เพื่อง่ายในการจัดการของผู้รับจ้าง เรื่องแบบนี้ก็น่ากลัวอยู่แล้วครับ

   

ตัวอย่างที่สอง ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ นักศึกษาไม่ต้องไปเข้าเรียน หรือไปศึกษาใดๆ ก็ได้ครับ แต่มีระบบการจ่ายเงินเป็นขั้นตอน เพื่อทำให้มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงได้ แล้วในที่สุดก็จะได้ใบปริญญาโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก แต่ก็อาจจะต้องออกเงินมากหน่อย

  

ตัวอย่างที่สาม ที่ไม่รุนแรงมากถึงขนาดนั้นก็มีลักษณะการทำวิทยานิพนธ์กลุ่ม ที่อาจจะมีคนบางคนเป็นตัวแทนทำ แต่คนอื่นก็คอยนั่งรับผลประโยชน์อย่างเดียว ซึ่งผมเชื่อว่าจะต้องมีต่างตอบแทนบ้างล่ะครับ

  

ตัวอย่างที่สี่ ที่แย่พอสมควร ก็คือ การเรียนที่ไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ แค่มานั่งเรียน สอบผ่าน ทำรายงานส่งนิดหน่อยก็ได้มหาบัณฑิตไปแล้ว ซึ่งไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่า มหาบัณฑิตเลย อย่างมากก็เพียงเป็นแค่ประกาศนียบัตร หรือวุฒิบัตรขั้นสูง อะไรก็ได้ แต่ไม่สมควรกับคำว่า มหาบัณฑิต เลย เพราะเท่าที่ทราบหลักสูตรเหล่านี้ก็มีการจ่ายเงินสูงพอสมควร แต่เวลาเรียนไม่ต้องจริงจังอะไรมาก เรียน ๆ ไปเดี๋ยวก็ผ่านเอง ทำลืมๆ ไปเดี๋ยวก็ได้ใบปริญญามหาบัณฑิต ที่มีผลมาจากการใช้เงิน มากกว่าการใช้สมอง และ ตัวชี้วัดของ ศักดิ์ศรี ก็เป็นเงินที่ต้องจ่ายครบ โดยไม่ต้องแสดงภูมิปัญญาให้ครบ นี่คือความแตกต่างระหว่าง ใบ ปริญญามหาบัณฑิต ปกติ และ ใบ ธนบัตรมหาบัณฑิต

  

สิ่งดังกล่าวข้างต้น เป็นอีกหลุมดำหนึ่งทางการศึกษาของเมืองไทยที่ควรกำจัดให้หมดไป

  

แต่อย่างว่าล่ะครับ เรื่องเงินใครไม่อยากได้บ้างครับ คนที่เห็นแก่เงินในระบบการศึกษาก็ยังมีมากมายเหลือเกิน

  

นี่ยังไม่ได้พูดถึงอาจารย์สอนพิเศษบางท่านในระดับมัธยม โดยการแอบเอาข้อสอบไปบอกผู้เรียนเพื่อให้มีคนสนใจมาเรียนมากขึ้น จะได้มีรายได้มากขึ้น ถ้าไม่เรียกว่า มารทางการศึกษา ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรครับ

  ขอโทษครับ ที่ได้เอาเรื่องเศร้าๆ มาเล่าให้ฟังวันนี้ (อีกแล้ว) วันหลังจะเอาเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ
หมายเลขบันทึก: 68940เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2006 09:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)
  • แม้จะเป็นเรื่องที่อาจารย์ได้ยินเขาเล่ามาอีกต่อหนึ่ง ก็คงเหมือนหนังครับ อย่างน้อยเขาก็เอาเสี้ยวหนึ่งของชีวิตจริงมาทำเป็นบทเดินเรื่อง
  • จริงไม่จริงก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่ เคยสังเกตมาบ้างพบว่า.....ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนพฤติกรรมหรือทำงานก็ไม่ต่างไปจากเดิม....(ผมไม่ได้ว่าใครเช่นกันotครับ เพียงแต่สังเกตดู อาจได้ข้อมูลที่ผิดพลาดก็ได้...อิอิ)
  • ขอบพระคุณมากครับ ที่มีบันทึกดีๆ ให้ผมได้ประเทืองปัญญา

ขอบคุณครับ ท่านสิงห์ป่าสัก

ผมก็พยายามสกิดเตือน เผื่อว่าผู้ที่คิดจะหาทางออกแบบนี้ จะได้เลิกคิด หรือเพลามือลง

หรือ อาจมองเป็นโยนก้อนหินปิดทางก็ได้ครับ

คนที่ไม่กินปูน คงไม่ร้อนท้องหรอกครับ

เหมือนมีคนตะโกนในกลางที่ประชุมว่า "คนที่ตดเมื่อตะกี้ ยังไม่ได้จ่ายเงิน"

ประมาณนั้นแหละครับ

คอยดูนะว่าจะมีคนที่ "ตด" และ ไม่ "จ่ายเงิน" อยู่บ้างหรือเปล่า

    แม้ไม่อาจยืนยันด้วยหลักฐานเด่นชัด ผมเองเชื่อ 100 % ว่าสิ่งที่อาจารย์นำเสนอ มีอยู่จริง ทุกรายการ มากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  มันเป็นเสียงเล่าลือครับ แต่ประมวลจากหลายๆกรณี ท่าที่ได้ยินมา ปะติดปะต่อแล้ว เชื่อได้ครับ 
    ตัวเร่งที่สำคัญก็คือ องค์กรต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่รอด  ที่เคยจับมือกันก็กลายเป็น มือจับกันแต่ ข้างล่าง เท้ากระทืบกันอยู่ ครับ  แข่งกันกวาดต้อน แมงเม่า  เข้าไปเรียน โดยไม่ต้องมีการสอบคัดเลือก .. ที่น่าสมเพชในความ ไร้จิตวิญญาณ อีกอย่างหนึ่งของ อุดมศึกษา บางแห่ง หรืออาจจะหลายแห่ง ก็คือกระบวนการ ก่อไฟล่อแมงเม่า  ผมหมายถึงการเอาหลักสูตร แปลกๆ ใหม่ๆ ที่อาจคุยได้ว่าเพิ่งตกเข้ามาใหม่ ทันสมัย ดีอย่างนั้น อย่างนี้ ทั้งหลักสูตรอบรมระยะสั้น - ยาว และที่ให้ใบปริญญากัน โฆษณากันไม่ต่างกับที่เขาทำกับเครื่องดื่มชูกำลัง ความสำเร็จวัดกันที่คนสนใจมาอบรมมากๆ  ทำเงินหล่อเลี้ยงองค์กรได้เยอะ .. ส่วนถ้าใครถามว่าความรู้เหล่านั้น เกิดประโยชน์แท้จริงต่อผู้เข้าอบรมแค่ไหน  จะได้นำไปใช้ในหน้าที่การงานเมื่อไร ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์อย่างไร .. ไม่มีใครสนใจหรอกครับ เข้าทำนอง "คุณได้ตั๋ว - ผมได้ตัง" เป็นอันเสร็จพิธีกรรม  ผีแห้ง กับ -โลงผุ พอดีกันเลยครับ ฝ่ายจัดก็ขยันเหลือเกิน ด้วยพลัง ธนานุภาพ ฝ่ายลูกค้าผู้รับบริการก็ สนุกกับการตามล่าหา กระดาษเปื้อนหมึก มาแปะข้างฝาให้คลุมพื้นที่ได้มากขึ้น เรื่อยๆ
   ประเภท เข้ามาหลอกเสนอโครงการในกรมกอง เอาเงินไปถลุงแบบ ไม่น่าเชื่อก็เคยมีครับ เกณฑ์คนนับร้อย เข้าอบรมเป็น 100 ชั่วโมง แต่ในนั้นมีการแอบระบายของเก่า ออกมาด้วยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะแลกกับเงินก้อนโต เป็นเอกสาร แผ่น Cd. ฯลฯ ชนิดที่เนื้อหาสาระไม่ได้เหมาะกับหลักสูตรนั้นเลย  แก่นของเรื่อง อบรมสัก 5-10 ชั่วโมงก็พอ แต่นี่ ลากให้ถึง 100 ชั่วโมง สุดท้าย ก็ละลายไปกับกาลเวลาเพียงช่วงสั้นๆ  แทบไม่เหลือซากอะไรให้เห็น .. เรื่องนี้ผมพูดยาวเพราะเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหน่วยงานขอให้เข้าร่วมโครงการด้วย .. อย่าให้บอกเลยว่า ใครที่ไหน ไปหลอกใคร อย่างไร .. รู้แค่ว่า ผมไม่ มั่วนิ่ม ก็แล้วกัน.

กราบเรียน ท่านอาจารย์พินิจ

นึกว่าไป weekend ที่ไหน เห็นเข้ามาสาย "ผิดปกติ"

ขอบคุณครับที่สนับสนุนเชิงข้อมูล

ผมอยากเห็นแบบนี้แหละครับ

ตอนเสนอ ก็กลัวจะเป็นเป้านิ่งอยู่เหมือนกัน

ตอนนี้สบายใจขึ้นแล้วครับ ขอบคุณครับ

   ขอบพระคุณครับที่ให้ Feed back อย่างทันควัน
ไม่มีครับ weekend .. เดี๋ยวบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็นก็จะได้พบ ท่านผู้บริหาร และว่าที่ผู้บริหาร รร. ราว 60 ชีวิตครับ .. ดีใจทุกครั้งที่มีโอกาสแบบนี้ เขาให้ผมดูแล ชุดวิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศครับ  นี่คือรุ่น 4 ที่เข้ามาฝึกอบรมตามหลักสูตร ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา ที่ว่าดีใจนั้นเพราะจะได้มีโอกาสหาเพื่อน หาพันธมิตร ก็เท่ากับหาให้อาจารย์ด้วยโดยอัตโนมัติแหละครับ ได้เท่าไหร่ พอใจเท่านั้น .. 60 ได้สัก 10 ก็นอนยิ้มได้แล้วครับ .. อาทิตย์พรุ่งนี้ท่าน ดร.ประพนธ์ ก็สละเวลามาช่วยด้วยอีกแรงหนึ่งครับ
      สวัสดีครับ.

สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์

 

  เรื่องธนบัตรมหาบัณฑิตนับว่าน่าสนใจ

แต่ระดับดุษฎีบัณฑิตก็ใช่ว่าจะไม่ลามปามไปถึง

ต่อไปจะเอาเครื่องมืออะไรมาแยกแยะว่า

คนไหนบัณฑิตตัวจริง คนไหนบัณฑิตเถื่อน

เคยมีข่าวบ้างตอนไปสมัครส.ส.

เห็นจับได้ไล่ทันอยู่บ้างเหมือนกัน

  เรียน หรือ สอน ให้มันได้เสียไปข้างหนึ่งจะได้ไหม 

ประเภทอีแอบมหาบัณฑิตจะได้หมดไป

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้

นี่ถ้าเอาวิธีสอบจอหงวนมาใช้จะมิดิ้นตายกันหมดรึ

..มันเป็นอะไรก็ไม่รู้นะ

สังคมที่ผิดปกติ มันจะวิปริตไปอย่างยากที่คาดถึง

..แต่ก็ยังดีที่มีอาจารย์ที่ดีๆอยู่อีกมากมาย

ปักป้ายหน้าโต๊ะทำงานดีไหมครับ

บัณฑิต  ตัวจริงเชิญทางด้านนี้

บัณฑิต  เถื่อนเชิญทางด้านโน้น

แต่..ผมสงสารการศึกษาไทย..นะ .

ตอนจัดพิธีรับปริญญา เคยคิดไหมว่า

เราได้หลอกใครบ้าง

เจ็บปวดนะ ที่ต้องมาจัดพิธีรับพระราชทาน

ปริญญาให้แก่บัณฑิตจอมปลอม !

หรือว่าทำจนเป็นปกติวิสัยแล้ว

 

   คำว่า รับจ้างเหมาลอกวิทยานิพนธ์

  ถ้าตัดตัวสะระ  ออกจะดีไหม?

ครูบาครับ

มันน่าจะมีทุกระดับแหละครับ

แต่ไม่ค่อยโจ๋งครึ่มเหมือนระดับปริญญาโท

ที่มันจะพอแอบๆได้ ไม่เหมือนปริญญาเอก ครับ

อย่างเท่าที่จำได้ว่ามีอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยภาคใต้ท่านหนึ่งก็เป็น ดร. ปลอม

นี่ก็แสดงว่ามีอยู่จริงๆ

 

  ประเด็นที่อาจารย์เสนอทะลุโป้ง!  ขึ้นมานี้

ไม่สบายใจ แต่ก็เป็นความจริง

แล้ววันนี้ เราก็ยังไม่มีข้อยุติ มาตรการ มีแต่จะปล่อย

ให้บานปลายออกไป

ที่จริงคนเราไม่คสรไปแสแสร้งว่ารู้มากกว่าความเป็น

จริง แค่ไหนก็แค่นั้น

มันขึ้นอยู่กับว่าที่รู้ๆนั้นมันจริงแค่ไหน

ถ้าจริงระดับหักไม้มาแกว่งเป็นกระบี่ได้

อยู่ไหนก็ไม่อดตาย จะเอายศเอาเกียรติบ้าๆบอๆ

ก็คงจะพอหาได้ถ้าไปติดยึดในเรื่องพิกลอย่างนั้น

แต่คนรู้จริงจะมีสติ คงไม่เหเป๋ไปทางที่ไม่สมควร

 

ขอบคุณครับ ครูบา ที่ให้กำลังใจ

ผมคิดว่า การศึกษาของเรายังมีช่องโหว่มากเหลือเกิน มีแต่คนที่จะเจาะให้มันรูใหญ่ขึ้น เพื่อจะออกได้ง่ายขึ้น แทนที่จะช่วยกันอุดรูโหว่ กลับขยายรูโหว่ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องอื่นไกล แค่คำว่า "คุณภาพ" ก็ยังตีความหมายกันไม่ถูกเลยคัรบ ตอนนี้ ทุกคนพูดถึงเรื่องประกันคุณภาพ แต่ไม่รู้ประกันคุณภาพอะไร เห็นมีแต่นั่งทำกระดาษเปื้อนหมึกกันตัวเป็นเกลียว งานการก็ไม่ทัน แล้วจะมาอ้างคุณภาพอะไรกันครับ หรือว่าการสร้างกระดาษเปื้อนหมึก คืองานสำคัญของเขาครับ ถ้าคิดแค่นั้น ผมว่า ไปผูกคอตาย ได้ประโยชน์มากกว่าครับ เพราะไม่ต้องเปลืองน้ำ เปลืองลมของโลก โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ครูบาช่วยเขียนหน่อยสิครับ ว่า "ไปผูกคอตาย ดีกว่าการทำงานประกันคุณภาพ" ครับ คนจะได้ซึ้งซะทีว่า กำลังทำอะไรกันอยู่ ได้ประโยชน์อะไรกันบ้าง นอกจากจะใช้กระดาษอย่างสิ้นเปลือง หมึกอย่างสิ้นเปลือง แล้วประเทศชาติได้อะไร ขอบคุณครับ

กระเทาะเปลือกสังคมการศึกษาได้ชัดเจนมากครับ ผมเคยเป็นครูมาก่อน และเจ็บปวดกับพฤติกรรมของครูด้วยกัน  ทั้งการเอาข้อสอบมาสอนเด็กที่เรียนกับตนเอง  พูดจาลามกจาบจ้วงนักเรียนและอื่น ๆ .....

ขอบคุณคุณพนัส

ที่มาเพิ่มเติมความมั่นใจให้ผมอีกขั้นหนึ่งครับ

ขอให้มาเติมบ่อยๆนะครับ เราจะได้มีพลังในการทำงานเพื่อชาติกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท