ในสังคมหนึ่งๆ เราจะมีคนที่มีความหลากหลายในทุกทาง ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ ทั้งประเภทและรูปแบบ ที่เราเรียกว่าโครงสร้างของพหุปัญญาที่แตกต่างกันในแต่ละคน
เท่าที่ผมสังเกตความสนใจของนักเรียนที่จะเรียนให้จบวุฒิการศึกษาต่างๆ นั้น ทุกคนมีแต่เน้นที่จะเข้าไปเรียนในระดับการอุดมศึกษา จนแทบไม่มีใครให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษา จึงทำให้มีการเปิดหลักสูตร เปิดสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาขึ้นมากมาย แต่แทบจะไม่ค่อยเคยเห็นสถาบันที่เน้นอาชีวศึกษามากนัก หรือมีก็น้อยเต็มทีประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ก็คือ หลักการพัฒนาทรัพยากรบุคคล พัฒนาทรัพยากรให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างการทำงานเช่นเดียวกับกองทหารที่เราไม่จำเป็นต้องมีนายพลจำนวนมาก หรือนายร้อยจำนวนมาก แต่เราจำเป็นต้องมีพลทหารและนายสิบจำนวนมาก เป็นสัดส่วนอย่างน้อยก็สิบเท่าขึ้นไป เช่น ในหมู่หนึ่งควรจะมีนายสิบ 1 คน และพลทหาร 10 คน และในกองร้อยหนึ่ง ก็ควรจะมีนายทหาร 1-2 คน ที่เหลือก็เป็นนายสิบและพลทหารอีกเป็นร้อย จึงจะเป็นกองกำลังที่เป็นปกติ
ลองนึกดูสิครับ ถ้ากองร้อยหนึ่งมีนายร้อยอยู่ 50 คน มีนายสิบอยู่ 3 คน มีผลทหารอีก 5 คน จะรบกันอย่างไรครับ ใครจะเป็นหน่วยหน้า หน่วยหลังครับ ใครจะบัญชาใคร
นี่คือปัญหาของระบบการพัฒนาการศึกษาไทยครับ เราเน้นการพัฒนาบุคลากรระดับอุดมศึกษา เปรียบเสมือนเน้นการพัฒนานายทหาร แต่เราไม่เน้นการพัฒนาอาชีวศึกษา ที่เปรียบเสมือนการพัฒนากองกำลังฐานล่าง ที่จำเป็นพอๆกันกับยอดบน
ผมไม่ทราบว่า เรากำลังทำอะไรกัน ทำไมเราจึงต้องปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปแบบไม่มีแผนอย่างนี้ แล้วเราจะพัฒนาประเทศกันอย่างไร ผมไม่เข้าใจครับ ใครทราบช่วยอธิบายด้วยครับ
แนวทางที่อาจเป็นไปได้ก็คือการควบคุมอัตราการขยายตัวทางการศึกษา ของบุคลากรให้สอดคล้องกับความจำเป็นของการพัฒนาประเทศ โดยพิจารณาทั้งความต้องการของประเทศ และโครงสร้างทางพหุปัญญาของกลุ่มประชากร
แล้วในที่สุดเราจะได้บุคลากรที่มีความรู้เป็นสัดส่วนพอเหมาะ และมีความสามารถสูงเพราะมีการแข่งขันสูง ไล่ลงมาเป็นชั้นๆ จนทำให้เรามีคุณภาพประชากรสูงในทุกมุม ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันที่ปล่อยตามสบาย ทำให้คนเรียนเปรอะไปหมด การแข่งขันแทบไม่มี จะมีบ้างก็เฉพาะบางสาขาเท่านั้น ทำให้คุณภาพของการศึกษาต่ำมากเพราะใครจะเรียนอะไรก็ได้ ตามใจชอบเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติต้องการคนที่มีคุณภาพในสัดส่วนต่างกันอย่างไร
ลองคิดดูนะครับ วันนี้ยังไม่สายครับ แต่พรุ่งนี้ไม่แน่
ถ้าพิจารณาเรื่องการสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจแล้ว
น่าคิดมาก แต่ที่สูญเสียมากกว่านั้นคือ..
กลุ่มที่ตกรถไฟขบวนสุดท้าย..ไปหลงคิดติดปริญญา
นึกว่า ปริญญาเป็นคำตอบสุดท้าย..
ที่แท้เพิ่งจะเปิดหน้าสารบัญเท่านั้น
ทุกมหาวิทยาลัยสามารถสอนได้ครึ่งเดียว
ของความรู้ความสามารถลูกศิษย์
นิสิตจะต้องเรียนต่อๆๆไป
การเข้าศึกษา..ก็เพื่อให้รู้วิธีค้นหาความรู้
ไม่ใช้ไปได้ยาวิเศษที่ระลึกรู้ได้โดยอัตโนมัติ
เพียงแต่การที่ได้เข้าศึกษาให้สอดคล้องกับตัวตน
สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ
ประเทศ สังคมโดยรวมก็ไม่ต้องได้รับผลกระทบจาก
การบริหารทรัพยากรบุคคลของชาติ
คุณอิทธิพล
เรื่องพหุปัญญา นี่น่าจะเป็นหลักนำในการพัฒนาทรัพยากรมนุบย์
เราน่าจะยอมรับกันได้ โดยไม่ต้องอายใคร
เพราะพหุปัญญาเป็นข้ออ้างที่ใครเถยงได้ยากครับ
แต่ชอบไม่ชอบนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
อาจจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพหุปัญญาก็ได้
เพราะบางทีคนก็ไม่รู้จักตัวเอง ทั้งหมด
ครูบาครับ
การสูญเสียทางเศรษฐกิจนั้นประมาณค่ามิได้แน่นอน แต่ใครจะจ่ายค่าโง่ตัวนี้ครับ ซึ่งได้แก่
รัฐมนตรี หรือฝ่ายจัดการการศึกษากล้ารับผิดชอบไหม
ถ้าไม่กล้าก็หลบไปซะ หรือเปลี่ยนพฤติกรรมซะ ง่ายนิดเดียว ถ้าจะทำ
อย่าทนเป็นปูเสฉวนในกระดองเต่าเลยครับ ไม่สนุกหรอกครับ
ความผิดพลาดที่ส่งผลให้เป็นอย่างที่นำเสนอในบันทึกนี้ ผมว่ามีหลายอย่างครับ เช่น