ชิวิตจริงของอินเทอร์น : ครูผู้พัฒนาชีวิต


หลังจากที่ได้ตั้งสายตาครูให้ลองมองเด็กให้เห็นความเป็นเขาไปสองคราวแล้ว กิจกรรมในโครงการพัฒนาครูที่ฝ่ายพัฒนาการศึกษา จัดให้มีขึ้นเป็นลำดับถัดมาก็คือ การอบรมครูเพื่อเป็นครูแนะแนว  เพื่อให้ครูมีวิธีทำความเข้าใจลูกศิษย์ และมีเครื่องมือในการทำความรู้จักลูกศิษย์ให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม 

กิจกรรมนี้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง ๓ ครั้งด้วยกัน คือ  ในวันที่ ๑๔ , ๑๙  และ  ๒๑ ธ.ค. ๔๙ หลักการสำคัญที่อาจารย์พิไล  แย้มงามเหลือ  อาจารย์ชุติมา  พงศ์วรินทร์  และ อาจารย์รับขวัญ  ภูษาแก้ว  ได้ให้ไว้ก็คือ  คนทุกคนมีความแตกต่างกัน  การทำความรู้จักเพื่อให้เข้าใจเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคลจึงเป็นเรื่องจำเป็น  เพื่อคุณครูจะได้ทราบปัญหาและความต้องการ และจัดการป้องกัน แก้ไข ส่งเสริม ได้ถูกทาง 

   

การที่ครูทุกคนมีทักษะในการมองเด็กอย่างละเอียดอ่อน (ไม่ว่าจะประยุกต์หลักการมาจากแนวของวอลดอร์ฟ จากหลักวิชาของการแนะแนว หรืออื่นๆ ก็ตาม)  นอกจากที่หลักการและวิธีการ ตลอดจนกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ครูได้รู้จักเด็กอย่างที่เขาเป็นแล้ว  ยังจะเป็นเครื่องช่วยให้เด็กได้รู้จัก และเข้าใจตนเอง  ตัดสินใจแก้ปัญหาได้  สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของงานแนะแนว อันที่จริงครูทุกคนสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี  หากทุกคนไม่ท้อถอย และไม่คิดว่าตนทำไม่ได้
  

 



ครู จึงเป็นผู้พัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม  คือการดูแลศิษย์ทั้งทางกาย  อารมณ์  สติปัญญา และสังคม  โดยเริ่มจากจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้เด็กรู้จักตัวเอง และการทำให้เรื่องของการพัฒนาชีวิต อยู่ในความสำคัญลำดับแรกของการจัดการศึกษา

 

 

 

เรื่องหลักการแนะแนวนี้สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับหลักการพัฒนาศักยภาพของสมอง ที่คุณหมออุดม  เพชรสังหาร  ได้กรุณามาพูดให้กลุ่มผู้ปกครองอนุบาลของโรงเรียนฟังเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธ.ค ที่ผ่านมา

  

คาถาที่คุณหมอฝากไว้ก็คือ 
Emotion drive attention , and attention drive learning. การจะเรียนรู้อะไรให้หมดจดนั้น ฉันทะต้องมาก่อน แล้ววิริยะที่จะอยู่กับเรื่องนั้นจะตามมาเอง



ดังนั้น หากเด็กทุกคนค้นพบว่าเขารักที่จะเรียนรู้ในเรื่องใด และมีความมุ่งมั่นที่จะรู้เรื่องนั้นให้ถึงที่สุดแล้ว ความสำเร็จทั้งหลายก็เป็นของเขาทุกคนได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม และสิ่งเหล่านั้นไม่มีความสัมพันธ์กับเขาเสียแล้ว สมองจะคัดทิ้งไปทันที เพราะจะตีความว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย และไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่สมองมีอยู่ 

 

ดังนั้น การจัดการศึกษาที่มีความสอดคล้องกับธรรมชาติของสมองในช่วงปฐมวัยก็คือ การสร้างจุดเชื่อมต่อให้กับโปรแกรมที่จะต้องใช้ในอนาคตเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อที่สมองจะได้มีศักยภาพในการรองรับผัสสะ และประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเขาในทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับการ install driver ให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องได้ทำความรู้จักกับเครื่องมือต่างๆที่จะต้องเข้าไปเชื่อมต่อนั่นเอง 

หมายเลขบันทึก: 68864เขียนเมื่อ 22 ธันวาคม 2006 18:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท