หน้าแรก
สมาชิก
สุพัฒน์ สมจิตรสกุล
สมุด
LEARN4LIFE
“หยุด” เพื่อความสุข
สุพัฒน์ สมจิตรสกุล
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
“หยุด” เพื่อความสุข
“
หยุด
”
เพื่อความสุข
จากกรรณจริยา สุขรุ่ง คอลัมน์ชีวิตรื่นรมย์
หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์
15
พฤศจิกายน
2549
ไม่มีเวลาแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว
…
เวลาหายไปไหน
เราจะไปตามเวลาได้ที่ใด ทำอย่างไรเราจะได้เวลาอยู่กับเราได้นานๆ ที่เราพอใจ
ชีวิตในเมืองเร่งรีบ ร้อนรนตั้งแต่แสงนวลแห่งอาทิตย์ยามเช้ายังไม่แตะขอบฟ้า รีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเช้าระหว่างขับรถ บนท้องถนนรถแล่นฉวัดเฉวียนพุ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ถึงที่ทำงาน เพื่อนมาชวนกินข้าว นิ่งไปยังนึกงงๆ ว่า เรากินข้าวไปแล้วหรือยังหนอ
ทำงานก็เร่งๆ พูดโทรศัพท์ไป ทำงานกับคอมพิวเตอร์ไป ถ้าปากยังว่างอาจกินขนมไปด้วย เข้าห้องน้ำก็อย่าให้เสียเวลา ติดโทรศัพท์ไปคุยต่อ
การทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ถือเป็นความสามารถพิเศษอันปกติของคนเมือง ทำงานมากมายเช่นนี้
เราน่าจะมีเวลาว่างเหลือบ้าง แต่ทำไมหลายคนยังร้องเรียกหาเวลาอยู่
หรือเวลาจะอยู่กับเราเมื่อเรา
“
หยุด
”
เสียบ้าง
วั
นหนึ่ง ผู้เขียนลองเดินลงบันไดจากชั้นที่
16
ของตึกแห่งหนึ่ง เพราะ
“
ขี้เกียจ
”
รอลิฟต์ ไม่ค่อยทันใจ เดินเอาดีกว่า ก่อนจะเดินตั้งใจยว่าจะอยู่กับทุกย่างก้าวที่ไต่ลงทีละขั้นบันได ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ช้าๆ ทีละขั้น เกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกกับทุกก้าว
“
เวลา
”
ไม่อยู่ในความคิด ไม่กลัวว่าจะเมื่อยล้า ไม่รีบไปไหน ไม่ต้องการสร้างสถิติ หญิงอึดเดินลงบันไดได้เร็วที่สุดในโลก
มารู้ตัวอีกทีก็ถึงชั้น
4
แล้ว ลองดูนาฬิกาก็แปลกใจว่า เข็มกระดิกไปแค่ไม่ถึง
4
นาที นึกแปลกใจว่า ทำไมเราเดินได้เร็วจัง ทั้งๆ ที่ค่อยๆ ก้าวทีละขั้นอย่างมั่นคง
วันนั้น การขี้เกียจรอลิฟต์ทำให้ตระหนักถึงมิติของเวลาว่า หากใจเรา
“
หยุดนิ่ง
”
สบายอยู่กับปัจจุบันได้ เวลากลับดูเหมือนจะยืดขยายออก มากพอที่จะรองรับกิจกรรมหลายอย่างที่เราต้องการทำในช่วงสั้นๆ
แต่ในกิจกรรมการเดินนี้ ดูเหมือนว่า
“
กาย
”
ที่เป็นมวลสารหนักกว่า ทว่าไม่สามารถข้าไปอยู่ในมิติเดียวกับ
“
ใจ
”
ได้ เพราะเมื่อใกล้ถึงชั้นล่าง กล้ามเนื้อขาและเข่าก็เริ่มสั่นเทาจากความเมื่อยล้า แต่ก็เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
เราได้ยินเรื่องความมหัศจรรย์ของปัจจุบันขณะอยู่เสมอ แต่น้อยครั้งที่เราจะอาศัยอยู่ในมิติอันวิเศษนั้นได้จริง
เวลากินอาหาร เรามักกินความคิด คุยเรื่องแผนงานอนาคตและเรื่องราวในอดีต ท้องอิ่มแล้วหรือยัง เรากลับไม่รู้ ผลคือกินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และบ่อยครั้งเราก็มักกินให้เสร็จๆ ไป เพื่อรีบไปทำงานต่อ
ในชีวิตเราสูญเสียพลังงานมหาศาลให้กับอดีตและอนาคต ความคาดหวัง ความวิตกกังวลที่จะทำให้สมความคาดหวัง ความเสียดายที่ทำไม่ได้ และความเครียด แต่ถ้าหากเรา
ลองทำงานโดย
“
วาง
”
ความคาดหวัง ความกลัว และความกังวลลง หันมาจดจ่ออยู่กับงานหรือกิจกรรมที่กำลังทำ เวลาก็จะมากขึ้น ขยายออกพอให้เราทำงานที่ต้องการได้มากขึ้น
แต่ถ้าใครมีความต้องการ
“
ไร้ที่สิ้นสุด
”
ต่อให้มีเวลามากแค่ไหนย่อมไม่มีวันพอ
จะว่าไปแล้ว การปล่อยวางและทำงานโดยปราศจากเป้าหมาย อาจถูกมองว่าเป็นภัยต่อสังคมสมัยใหม่ที่ทุกหน่วยการผลิตต้องก่อประโยชน์จึงจะนับว่ามีค่า ใครทำงานมากก็ยิ่งมีค่ามาก กลับกัน ใครไม่ทำอะไรเลยจะถูกปรับ ถูกผลักให้กลายเป็นคนพร่องความสามารถและไร้ค่า
ใครที่นั่งชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมายว่า จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูนกหรือนอนดูดาว โดยไม่มีภาพหวังว่าจะเป็นนักดาราศาสตร์ จะกลายเป็นพวกไร้สาระ ขี้เกียจ พวกสายลม แสงแดด
เป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ ยามใดที่เพื่อนพ้องของผู้เขียนรู้ตัวเองว่า ต้องเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม พวกเขาจึงรู้สึกราวเสียขวัญพร้อมกับหลุดปาก
“
ที่นั่นเขาทำอะไรกันช้าๆ หรือนั่งขัดสมาธิเฉยๆ นิ่งๆ ฉันเบื่อแย่เลย วันๆ ไม่เห็นทำอะไร ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเลย
”
ผู้คนในสังคมสมัยใหม่ต่างจมปรักวิธีคิดเรื่อง
“
การใช้เวลา
”
อย่างมีเป้าหมาย ถ้าไม่ขยับร่างกายทำงาน ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน ทำอาหาร ทำสวน ก็ต้องทำงานใช้ความคิด คิดว่างแผนงาน คิดแล้วคิดอีก คิดวกวน คิดมาก คิดๆๆๆ และก็ทำงานๆๆๆ เหมือนหมึกหนวด
พวกเขาต้องทำงานสารพัดอย่างในเวลาเดียวกัน หนำซ้ำยังต้องทำด้วยความรวดเร็วและอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
กระทั่งยามเที่ยวก็ยังเที่ยวจนเหนื่อย หลายคนจึงต้องขอเวลาอีกหนึ่งวัน นอนพักอยู่บ้านหลังการเดินทาง ฟังดูขัดหูราวกับว่า
“
การท่องเที่ยว
”
ไม่ใช่
“
การพักผ่อน
”
การผ่อนคลายที่แท้จึงเกิดได้ยาก หากกายพักแต่ใจไม่พัก
กุญแจของการพักใจ น่าจะอยู่ที่
“
การหยุด
”
และ
“
อยู่กับปัจจุบัน
”
หยุดทั้งความคิดและความรู้สึก หยุดทำกิจกรรมใดๆ เพียงเพื่อต้องการ
“
ฆ่าเวลา
”
ไม่ว่าจะดูโทรทัศน์หรือฟังเพลง
เป็นไปได้หรือไม่ที่เราหยุดเพื่อหยุด ว่างเพื่อว่าง เดินชื่นชมดอกไม้ นั่งเฉยๆ โดยไม่รู้สึกผิด เป็น
“
ความขี้เกียจ
”
ที่มีศิลปะ
ตำนานการค้นพบแรงโน้มถ่วงโลกระบุว่า เซอร์นิวตันพบทฤษฎีนี้ในขณะนั่งผ่อนคลายใต้ต้นแอปเปิล ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ใหม่ หรือนักปฏิบัติการทางจิตบอกว่า เมื่อใจเบา สบาย สงบ หยุด กาลเวลาก็ยืดขยาย และหยุดตามด้วย
ด้วยสภาวะเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า
“
ปัญญาญาน
”
ความคิดอันเลิศ และพลังชีวิต จึงจะได้รับการเติมเต็ม เมื่อนั้น เราอาจสร้างสรรค์อะไรดีๆ แก่โลกเหมือนเซอร์นิวตันก็เป็นได้
ผู้เขียน
ขอชวนทุกคนหยุดกายและใจ ขี้เกียจบ้างวันละนิด ลองอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ปล่อยใจสบายๆ ฟังเสียงลมโชย ชื่นชมช่อดอกไม้ หยุดถามว่าจะได้ประโยชน์อะไร
ถึงเวลานั้น ชีวิตและจิตใจของเราก็จะเบาสบาย มีเวลาเหลือเฟือ
...
เขียนใน
GotoKnow
โดย
สุพัฒน์ สมจิตรสกุล
ใน
LEARN4LIFE
คำสำคัญ (Tags):
#ความสุข
หมายเลขบันทึก: 68746
เขียนเมื่อ 22 ธันวาคม 2006 11:02 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:48 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
สุพัฒน์ สมจิตรสกุล
สมุด
LEARN4LIFE
“หยุด” เพื่อความสุข
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท