กติกาของระบบราชการ
นอกจากขีดจำกัดด้านอัตราแล้ว กติกาของระบบราชการก็ทำให้การใช้อัตรามีความรกรุงรัง กล่าวคือ เงื่อนไขของอัตราซึ่งกำหนดโดยสำนักงบประมาณ อาจไม่ตรงกับเงื่อนไขของตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยทบวงมหาวิทยาลัย และก็อาจไม่ตรงกับความต้องการของมหาวิทยาลัย
ระบบงบประมาณราชการก็ไม่เอื้อต่อการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งต้องการความคล่องตัวและนวัตกรรมมาก การทำงานระบบราชการออกแบบขึ้นเพื่อการทำงานซ้ำ ตามแนวปฏิบัติและกฎระเบียบที่วางไว้ และส่งเข้ามายังหน่วยราชการจากภายนอก ระบบราชการออกแบบขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริต การวัดผลการทำงานในระบบราชการ จะดูความถูกต้องของการปฎิบัติตามระเบียบ ดูความสามารถในการใช้งบประมาณตามแผน ดูการทำกิจกรรม (Activity Based) ระบบราชการไม่พูดถึงผลลัพธ์หรือผลผลิต (Output หรือ Outcome Based) เราเพิ่งจะพูดกันเรื่องผลลัพธ์หรือผลผลิตเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
ว่ากันตามตรงแล้ว งบประมาณแผ่นดินสำหรับมหาวิทยาลัยของรัฐมีจำนวนพอสมควร พอทำให้มหาวิทยาลัยอยู่ได้ แต่พัฒนาได้ยาก นอกจากนั้น การจัดสรรงบประมาณเป็นปีต่อปีขาดความต่อเนื่อง ทำให้วางแผนระยะยาวไม่ได้ อีกประการหนึ่ง มหาวิทยาลัยอาจจะได้งบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับกาละและเทศะ เป็นต้นว่า ได้ของที่ไม่ต้องการ หรือได้ของที่ต้องการก็ไม่ตรงกับเวลาที่ต้องการ
ระเบียบพัสดุที่ใช้กับระบบราชการ ซึ่งมีคนอยู่กว่าล้านคนในขณะนั้น ใช้กับส่วนราชการซึ่งทำงานลักษณะประจำ ไม่ต้องการนวัตกรรมหรือความคล่องตัวสูง ก็บังคับใช้กับมหาวิทยาลัยของรัฐด้วย การซื้อครุภัณฑ์ที่มีลักษณะเทคนิคเฉพาะตัวต้องผลิตตามสั่ง ก็ต้องใช้กติกาเดียวกันกับการซื้อโต๊ะและเก้าอี้นักเรียนที่อาจซื้อทีละร้อยทีละพันชุดก็ได้
มหาวิทยาลัยเสียแรงและเสียสมองกับการทำงานกระดาษ เพื่อแก้ไขให้สามารถใช้งบประมาณและอัตรากำลังได้ใกล้เคียงกับความต้องการ โดยการทำเรื่องไปยังทบวงมหาวิทยาลัยและสำนักงบประมาณ รวมทั้งการวิ่งเต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตรากำลังหรือการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ทั้งนี้ การมอบอำนาจการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางประการมายังมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ สิบปีมานี้เอง
ความไม่คล่องตัวอีกประการหนึ่งคือ เปิดหลักสูตรและการจัดตั้งหน่วยงานในระบบมหาวิทยาลัยในควบคุมของรัฐ เรื่องต้องขึ้นไปถึงทบวงมหาวิทยาลัยไปจนถึงการประกาศเป็นประกาศทบวง เป็นพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากการแก้ไขช้าและลำบาก มหาวิทยาลัยรัฐจึงมีหลักสูตรและหน่วยงานที่หมดความจำเป็นหรือเกินความจำเป็นอยู่มากมาย ตายซากหรืออ้วนท้วนใช้งบประมาณกันต่อไป การมอบอำนาจบางเรื่องให้มหาวิทยาลัยก็เกิดขึ้นประมาณสิบปีนี้เช่นกัน
ไม่เห็นทางเลือกอื่น
พวกเราจึงสรุปกันเมื่อประมาณยี่สิบปีมาแล้วว่า จะพัฒนาให้มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีได้ มหาวิทยาลัยต้องมีความสามารถในการบริหารด้านวิชาการ บุคคล งบประมาณและทรัพย์สิน ได้เองถึงจุดหนึ่ง หลังจากได้พยายามศึกษาลู่ทางและเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยจะเกิดความคล่องตัวเช่นนี้ เพราะเมื่อมหาวิทยาลัยเป็นส่วนราชการ คนของมหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการ ก็ต้องใช้กติกาของระบบราชการทั้งเรื่องคน งบประมาณแผ่นดิน การจัดซื้อจัดจ้าง การมอบอำนาจให้คล่องตัว ก็ต้องมอบลงมาจากหน่วยงานที่มีอำนาจ
ความคล่องตัวในการบริหารจะเกิดขึ้นได้ เฉพาะกับการใช้ทรัพยากรส่วนเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อยี่สิบปีมาแล้วสัดส่วนเงินรายได้ต่องบประมาณแผ่นดินของทุกมหาวิทยาลัยก็อยู่ในระดับต่ำ ความคล่องตัวก็ต่ำ
ทางออกทางเดียวคือต้องพัฒนาให้มหาวิทยาลัยของรัฐอยู่นอกระบบราชการ มีความคล่องตัวเหมือนมหาวิทยาลัยของรัฐที่พัฒนาได้เร็วในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ติดตาม Milestone ที่สำคัญเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว : แผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี (2533-2547) ของทบวงมหาวิทยาลัย ระดมสมองกันมองทิศทางอุดมศึกษา ตอนต่อไป....