เราคงเคยได้ยินคนทั่วไปเขาพูดกันว่า พ่อตากับลูกเขย มักจะไม่ค่อยลงรอยกันเช่นเดียวกับแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ดังเช่นผู้ใหญ่อินกับบัวลอย เป็นตัวอย่างของพ่อตากับลูกเขยอีกคู่หนึ่งที่เป็นคู่กัดกันเป็นประจำตามตำราดังกล่าว
ผู้ใหญ่อิน (พ่อตา) แกมัจะอาศัยความเป็นผู้ใหญ่บ้านแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่บัวลอยอยู่เสมอ แต่บัวลอยก็ไม่ค่อยจะถือสาหาความอะไรกับแกนัก เพราะถึงอย่างไรแกก็เป็นพ่อของเมียตัวเอง แถมยังมีมรดกมากมายที่ควรแก่การเอาใจอีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะถูกข่มเหงรังแกอย่างไรบัวลอยก็มักจะเอาตัวรอดด้วยความฉลาดและท่าทางที่ตลกโปกฮาของเขาทุกครั้ง
วันหนึ่ง ผู้ใหญ่อินใช้ให้บัวลอยพายเรือไปส่งที่วัดอีกคุ้งน้ำหนึ่งในหมู่บ้าน ระหว่างทางผู้ใหญ่อินพยายามหาเรื่องจับผิดบัวลอยให้ได้ ก็พอดีผู้ใหญ่มองไปเห็นฝูงเป็ดฝูงหนึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ริมคลอง
“ไอ้บัวลอยเอ็งรู้หรือเปล่าว่าทำไมเป็ดมันถึงว่ายและลอยอยู่บนน้ำได้” ผู้ใหญ่อินตั้งคำถามเพื่อจับผิดบัวลอย
“ก็เป็นธรรมชาติของมันซีพ่อ” บัวลอยตอบ ผู้ใหญ่อินเริ่มแสดงความไม่พอใจ แต่ก็พยายามระงับไว้ อีกสักครู่ ผู้ใหญ่อินก็เหลือบไปเห็นกอไผ่ที่มีหน่อไม้ขึ้นอยู่รอบกอ
“ไอ้บัวลอย เอ็งรู้หรือเปล่าว่าทำไม่หน่อไม้มันถึงแหลม”
“ก็เป็นธรรมชาติของหน่อไม้ซิพ่อ” ผู้ใหญ่อินก็ยังไม่ว่าอะไร ทั้งคู่ก็เดินทางกันต่อไปอีก ไปเจองูตัวหนึ่งกำลังเลื้อยอยู่ริมตลิ่ง
“ไอ้บัวลอย เอ็งรู้หรือเปล่าว่าทำไมตัวงูถึงลื่นจนเลื่อม”
“ก็เป็นธรรมชาติของมันซิพ่อ” ผู้ใหญ่อินสุดระงับโทสะ
“อะไรวะเอ็งนี่ไม่มีมันสมองเสียเลย ตอบได้อยู่คำเดียวว่าธรรมชาติของมันๆ ข้าถามปัญหาง่าย ๆ ก็ยังตอบไม่ได้ เป็ดมันมีขนมันถึงลอยน้ำได้ หน่อไม้มันต้องโผล่แทงดินขึ้นมามันจึงต้องมีปลายแหลม และงูมันต้องเลื้อยเข้าออกจากรูตัวมันถึงลื่นจนเลื่อม เอ็งนี่โง่จริง ๆ”
บัวลอยได้ฟังก็เถียงพ่อตาอย่างไม่ลดละ
“ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติของมันทั้งนั้นแหละพ่อ มะพร้าวมันไม่จำเป็นต้องมีขนมันยังลอยน้ำได้ เห็ดต่าง ๆ ไม่เห็นมีปลายแหลมมันยังโผล่พ้นดินออกมาได้ แล้วก็…”
ขณะนั้นเรือใกล้จะถึงวัดแล้ว บัวลอยก็วาดฝีพายหักหัวเรือเข้าเทียบท่าชายฝั่งหน้าวัด
“แล้วยังไงอีกวะ เอ็งพูดให้จบนะไอ้บัวลอย” ผู้ใหญ่อินยังคาดคั้นบัวลอยอีก
“หัวของพ่อที่ล้านโล่งเตียนจนมันแผล็บ ผมก็ยังไม่เคยเห็น พ่อต้องเลื้อยเหมือนกับงูซักหน่อย”
ไม่มีความเห็น