คนกับลิงต่างกันนิดเดียว


ถ้าเราอยู่กันแบบแข่งขันทำลายล้าง และทำลายล้างธรรมชาติ เพื่อความอยู่ดี ความสะดวกสบาย ของมนุษย์ อย่างไม่มีความพอดี ในที่สุด "ผู้ชนะ" ก็จะเป็นผู้แพ้ คือสูญพันธุ์ไปด้วย

คนกับลิงต่างกันนิดเดียว

       นิตยสาร ไทม์ ฉบับวันที่ ๔ ธค. ๔๙ ขึ้นปกรูปคนกับลิง มีคำว่า "How We Became Human. Chimps and humans share almost 99% of their DNA. New discoveries reveal how we can be so alike -- and yet so different"     และในเนื้อเรื่อง ชื่อ What Makes Us So Different? ขึ้นพาดหัวว่า  Not very much, when we look at our DNA. But those few tiny changes made all the difference in the world.

       มองภายนอกคนกับลิงต่างกันมาก     ลิงที่ใกล้คนที่สุดคือ ชิมแปนซี มี DNA ต่างกันเพียง 1.23%   และมีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ ๖ ล้านปีมาแล้ว     ที่จริงญาติสนิทที่สุดของมนุษย์ Homo sapiens sapiens คือ Neanderthals ซึ่งมีบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์เมื่อ ๕ แสนปีมานี่เอง     และ  Neanderthals ก็อยู่ในโลกนี้ร่วมกันกับมนุษย์ จนเพิ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๒๘,๐๐๐ ปีมาแล้วนี่เอง     ที่สูญพันธุ์ก็เพราะแพ้มนุษย์นั่นเอง     แต่ก็ได้ฝากยีนของ Neanderthals ไว้กับมนุษย์ด้วย     คือตอนอยู่ร่วมโลกกัน มนุษย์กับ Neanderthals มีการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มกันด้วย

        เรื่องผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มนี้ นักวิทยาศาสตร์เขามีหลักฐานชวนให้สงสัยว่า ในช่วงหลายล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมนุษย์ ก็ผสมพันธุ์กับชิมแปนซีด้วย      สัญชาตญาณ หรือแรงกระตุ้น ของการผสมพันธุ์เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์นี่มันแรงมากนะครั บ

        ผมตีความว่าที่ Neanderthals สูญพันธุ์ก็เพราะเขาใกล้เคียงกับมนุษย์มาก     อยู่ถ้ำเหมือนกัน  ล่าสัตว์เหมือนกัน  สร้างเครื่องมือง่ายๆ ได้เหมือนกัน ฯลฯ     แต่ฉลาดน้อยกว่า เพราะสมองซับซ้อนน้อยกว่า     จึงแข่งขันสู้ไม่ได้ ก็สูญพันธุ์ไปตามระเบียบของธรรมชาติ      แต่ลิงชิมแปนซี ญาติที่ห่างถัดมา มีชีวิตอยู่บนต้นไม้ คนละระบบนิเวศกับมนุษย์  ไม่แข่งขันกันกับมนุษย์      จึงยังดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนบัดนี้

        ผมจึงได้บทเรียนว่า    ถ้าเราอยู่กันอย่างแข่งขันแบบทำลายล้าง     โลกใบนี้ก็จะแคบมากสำหรับผู้แพ้     ผู้แพ้จะต้องสูญสิ้น หรือสูญพันธุ์      แต่ถ้าเราอยู่กันแบบอยู่ร่วมกัน     มีการมีชีวิตอยู่หลากหลายรูปแบบ     และร่วมมือ หรือเป็นคุณต่อกัน     โลกใบนี้จะรองรับสิ่งมีชีวิตได้มากมายหลากหลาย เหลือคณา

        ผมสงสัยว่า ถ้าเราอยู่กันแบบแข่งขันทำลายล้าง     และทำลายล้างธรรมชาติ เพื่อความอยู่ดี ความสะดวกสบาย ของมนุษย์ อย่างไม่มีความพอดี    ในที่สุด "ผู้ชนะ" ก็จะเป็นผู้แพ้     คือสูญพันธุ์ไปด้วย

         เข้าซอยจินตนาการไปไกล  ขอกลับมาที่บทความในนิตยสาร ไทม์    กับการค้นหา "ยีนแห่งความเป็นมนุษย์"    ซึ่งค้นหาง่ายขึ้นเยอะหลังจากนักวิทยาศาสตร์ sequence จีโนมของชิมแปนซีได้สำเร็จเมื่อปี ๒๕๔๘     แต่ข่าวไม่ค่อยดัง เพราะข่าวพายุเฮอริเคน แคทริน่า กลบเสียหมด  

        ทีนี้นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถเอาจีโนมของมนุษย์ กับของชิมแปนซีมา "คลี่" เทียบกันได้     คำว่า "คลี่" ต้องมีเครื่องหมายอัญญประกาศ เพราะไม่ได้คลี่เหมือนคลี่กระดาษ     ต้องใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า bioinformatics เป็นเครื่องมือ    ก็เกิดความเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น     พอมีความรู้ใหม่มากเข้าๆ นิตยสารแบบ ไทม์, นิวสวีค,  ดิ อีโคโนมิสต์ ฯลฯ ก็สรุปเอามาบอกคนทั่วๆ ไปเสียทีหนึ่ง     นักเขียนที่เรียกว่า science journalist ของเขาสรุปเก่ง และเขียนด้วยภาษาง่ายๆ      ทำให้ผมติดใจมาก    และฝันอยากมีนักเขียนเชิงสรุปวิทยาศาสตร์เก่งๆ ในเมืองไทยบ้าง
    
        สรุปยีนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์
           - ยีน FOXP2 - ยีนแห่งการพูดและภาษา     มีอายุ ๒๐๐,๐๐๐ ปี    ค้นพบโดย Svante Paabo    ชิมแปนซีก็มียีนนี้ แต่แตกต่างกับยีนของมนุษย์ที่ ๒ ตำแหน่ง จากทั้งหมด ๗๑๕ ตำแหน่ง ของ DNA
           - ยีนที่ทำหน้าที่ดัดแปร sialic acid บนผิวเซลล์ ของมนุษย์ทำหน้าที่ไม่ได้     ทำให้ sialic acid บนผิวเซลล์ของมนุษย์แตกต่างจากลิง     จึงติดโรคมาลาเรีย  เอดส์  และอีกหลายโรคที่ลิงไม่เป็น     เป็นตัวอย่างความก้าวหน้าอันเกิดจาก "ความไม่สามารถ"     ทำให้บรรพบุรุษของเราก้าวหน้าขึ้นเป็นมนุษย์     แต่ก็ได้ความอ่อนแอในการติดเชื้อโรคมาด้วย     ไม่มีอะไรที่ "ดีไม่มีที่ติ" ในธรรมชาติ นะครับ 
          - ยีน MYH16 ทำให้โปรตีน myosin ในกล้ามเนื้อที่ขากรรไกร (ใช้กัดและเคี้ยว) ผิดปกติในมนุษย์    เกิดการวิวัฒนาการที่ขากรรไกรเล็กลงเปิดช่องให้สมองโตขึ้น    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๒ ล้านปีมาแล้ว 
        
        แต่จริงๆ แล้วความเป็นมนุษย์ไม่ได้เกิดจากยีนใดยีนหนึ่ง      หากเกิดจากอิทธิพลของหลายยีน     การเปรียบเทียบจีโนมของมนุษย์กับญาติสนิทที่มีชีวิตอยู่ คือชิมแปนซี บอกว่า
           - ดีเอ็นเอ ต่างกัน ๑.๒๓%
           - ยีนเหมือนกัน ๒๙%    และยีนที่ต่างกัน ก็ต่างเพียง ๑ - ๒ กรดอะมิโน เท่านั้น    
          - ความแตกต่างที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ ดีเอ็นเอ ส่วนที่เป็นยีน (coding DNA) เท่านั้น     แต่ยังอยู่ที่ดีเอ็นเอ ส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมยีน (functional non-coding DNA) ด้วย     โดยทำหน้าที่เปิดปิด "สวิตช์" การทำงานของยีน ตามกาละ เทศะ
          - ยีน DUF1220 ทำหน้าที่ในสมอง     มีจำนวน copy มากที่สุดในมนุษย์
          - ดีเอ็นเอส่วนที่เรียกชื่อ HARs (Human Accellerated Regions)  เป็น ดีเอ็นเอ ส่วนที่กระตุ้นการเติบโตของสมองมนุษย์     พบแล้ว ๔๙ ตำแหน่ง      และพบว่า ๔๗ ตำแหน่งอยู่ใน ดีเอ็นเอ ส่วน functional non-coding 
          - HAR1 ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองทารกในครรภ์ของมุษย์ ช่วงอายุ ๗ - ๑๙ สัปดาห์     แม้จะยังไม่รู้จักตัวยีนที่ทำหน้าที่นี้   แต่ก็รู้กันว่าเป็นช่วงที่โปรตีนชื่อ reelin ทำหน้าที่กระตุ้นให้ cerebral cortex พัฒนาเป็น ๖ ชั้นตามธรรมชาติของสมองมนุษย์     

        ต้องขออภัยท่านที่อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีพื้นความรู้ด้านพันธุศาสตร์ และวิวัฒนาการของมนุษย์      ผมเจตนาเขียนบันทึกนี้ไว้สำหรับตนเองมากกว่า     แต่ก็เอามาแบ่งปันแก่ผู้สนใจด้วย

วิจารณ์ พานิช
๕ ธค. ๔๙
วันพ่อ

หมายเลขบันทึก: 68169เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2006 11:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 08:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
 ขอบคุณอาจารย์ที่แบ่งปันค่ะ     น่าสนใจแต่เข้าใจยากไปหน่อยค่ะ
  • ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านอาจารย์หมอในประเด็นเรื่องผู้ชนะที่จะกลับเป็นผู้แพ้ครับ
  • สำหรับประเด็นนี้น่าจะทำให้คนเราแตกต่างกับลิงเยอะมาก เพราะการทำลายล้างตามสายพันธ์จะเหลืออีกสายพันธ์หนึ่งหรือสายพันธ์ข้ามระบบที่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกันเหลือรอดอยู่ ซึ่งอาจจะเกิดความสมดุลแห่งวัฏจักรได้
  • แต่ถ้าเป็นคนหรือมนุษย์ซึ่งมีความคิดคล้าย "อมนุษย์" ขึ้นทุกวัน การทำลายล้างแบบก้าวกระโดดข้ามสายพันธ์ ของจุลชีพและจุลชีวัน แม้แต่แบคทีเรียตัวเล็ก ๆ ก็จะถูกทำลายลงด้วยสัตว์ที่มีชื่อว่า "คน" ที่หลงอยู่ในวังวนแห่งนรกภูมิ
  • ท่านอาจารย์หมอมีวิธีการแก้ไขเรื่องนี้ไหมครับ
  • สำหรับผมนั้น การเดินทางสายกลางแบบพุทธและความเพียงพอในชีวิตน่าจะทำให้สายพันธ์แห่งมนุษย์อยู่ยืนยาวไปได้ "อีกสักระยะ" ครับ
  • ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

ขออนุญาตอาจารย์ นำไปเผยแพร่นะครับ

ผมรอคอยมานานแล้ว ผมยังไม่เห็นลิงเป็นคนแม้แต่งตัวเดียวเลย นั้น มันเป็นความคิดของลัทธิดาร์วิน (น่าเสียดายที่ต้นกำเนิดของเชลล์นั้น ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่มืดมนที่สุดจริงๆในทฤษฎีวิวัฒนาการ ชาวรัสเชีย)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท