อายครูไซ้ถ่อยรู้ วิชชา
อายแก่ราชาคลา ยศแท้
อายแก่ภรรยา หาบุตร แต่ไหนนา
อายกับทำบุญแล้ สุขนั้นฤามีฯ
อันที่จริง ความเป็นผู้มีความเอียงอายอยู่บ้าง หรืออายต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องที่ดี เช่นความละอายแก่ใจที่จะทำสิ่งไม่ดี ความละอายแก่ใจที่จะอวดสิ่งไม่ดีแก่บุคคลอื่นเพื่อให้ผู้อื่นสรรเสริญเยินยอหรือความต้องการสิ่งสะท้อนกลับอันน่าพึงพอใจ เป็นต้น แต่ในบางเรื่องหากมัวนั่งอายอยู่ไซ้ ความเจริญของตนภายในสังคมจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก โคลงโลกนิติบอกว่า ๑) หากต้องการวิชาความรู้ แต่กลัวครูอาจารย์ ไม่กล้าที่จะถาม ไม่กล้าที่จะโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล ไฉนเลยความรู้จากครูอาจารย์จะเดินทางเข้ามาสู่สมองอันเปรื่องปราดของผู้นั้นได้ ๒) คนที่ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็ต้องคอยอยู่ใกล้ผู้มีอำนาจเข้าไว้ ทำสิ่งดีๆ ที่น่าพึงพอใจให้คนเหล่านั้นเห็นก็จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนยศตามต้องการ (ผู้มีอำนาจที่เขลามักมองแต่ภาพใกล้ตัวหรือไม่ก็สายตาสั้น แต่ผู้มีปัญญามักมองภาพที่เชื่อมโยงไกลตัว) หากแต่สิ่งดีนั้นควรเป็นสิ่งดีที่มิใช่ทำเอาหน้า หรือนำผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตน ผลของสิ่งดีก็จะเป็นผลที่สมเหตุสมผล ๓) คนที่ต้องการบุตรไว้สืบสกุลหรือรับใช้ในยามแก่เฒ่า หรือต้องการบุตรไว้ด้วยเหตุผลบางประการ ก็ต้องไม่เขินอายต่อภรรยาของตน (ในปัจจุบันเห็นจะหาได้ยากเต็มที แต่ไมได้หมายความว่าไม่มี) ๔) การทำบุญ ในที่นี้ขอตีความไปที่การทำความดี หากเราไม่กล้าที่จะทำ ไฉนเลยจะได้พบความสุขหรรษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด ในปัจจุบันบางคนต้องแอบซ่อนเพื่อที่จะทำดี เพราะเกิดมีใครเห็นเข้าก็จะถูกกระเซ้าเย้าแย่ว่า “แกทำดีเป็นด้วยหรือ” หรือ “โห..พ่อคนดี” ผู้รู้จึงมักสอนผู้ตั้งใจสร้างสรรค์สิ่งดีว่า อย่ากลัวการทำความดี ไม่เคยมีใครทำความดีแล้วเสียหาย ซึ่งจุดแรกที่ควรเริ่มก่อนคือ เจตนาที่บริสุทธิ์ หากมัวอายที่จะทำดี แล้วจะหาดีที่ไหนไว้เชยชมหรือเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้เดินตามรอยเท้าเราได้เล่า
อย่าอายที่จะทำดีใช่มั้ยครับ ...
ความดีสวยงามเสมอ...เพียงแค่คิดดีก็สุขใจ มีสุข
ขอบคุณอาจารย์ครับ
ขอบคุณค่ะ