นาเดีย มูราด


ประวัติและผลงานของ

  นาเดีย มูราด (Nadia Murad) 

นำเสนอโดย 

พระจิตติน ถาวโร   ๖๑๒๑๕๐๑๐๐๙


เสนอ อาจารย์ ดร.โสภณ จาเลิศ 

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา วิชา พระพุทธศาสนากับสันติภาพ
ภาคการศึกษาที่
1 ปีการศึกษา 2563

รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2018 (2561) ตกเป็นของ 2 นักรณรงค์ต่อต้านการข่มขืนและการใช้ความรุนแรงต่อสตรี ในสงคราม คนแรก คือ น.ส.นาเดีย มูราด สาวผู้ผ่านความตายจากความโหด เถื่อน ดิบของกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม หรือไอเอสมาได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนอีกคนคือ เดนิส มุคเวเก นรีแพทย์แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก หรือดีอาร์ คองโก   ผู้ทุ่มเทเวลาในการสมานแผลหัวใจให้ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศ ประมาณ 30,000 คน ในช่วงหลายสิบปี

   "มูราด" เป็นชาวยาซิดี ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเคิร์ด ซึ่งเป็นชาวคริสต์ในอิรัก เคยถูกทรมานและข่มขืนจากนักรบไอเอส เรียกว่า ถูกจับไปเป็นทาสกามของนักรบไอเอสอยู่นาน และขณะนี้เธอออกมายืนแถวหน้าในการปลดปล่อยชาวยาซิดีให้ได้รับอิสรภาพ ส่วน "หมอมุคเวเก" พร้อมกับเพื่อนในโรงพยาบาล ก็ช่วยกันรักษาเยียวยาจิตใจเหยื่อข่มขืนจำนวนมาก

   นาเดีย มูราด    เป็นหญิงสาวชาวยาซิดีคนแรกของอิรัก    ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2018 มูราด เกิดในปี 2536 เรียนชั้นมัธยมปลาย และอายุ 21 ปี แล้วตอนที่นักรบไอเอสบุกโจมตีหมู่บ้าน “โคโช” ภาคเหนือของอิรัก ใกล้พรมแดนซีเรีย เธอตั้งความหวังว่าจะเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ หรือเป็นศิลปิน

           ที่ผ่านมาเธอพยายามถ่ายทอดประสบการณ์อันเลวร้ายหลังตกเป็นเหยื่อกามารมณ์ของกลุ่มไอเอส เพื่อรณรงค์และช่วยเหลือผู้หญิงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงทางเพศอีกต่อไป

           นาเดียและหญิงสาวชาวยาซิดีกว่า 7,000 คนถูกลักพาตัวในปี 2014 แม่ พี่ชาย และน้องชายอีก 6 คนของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น นาเดียถูกบังคับให้กลายเป็น ‘ซาบายา’ (Sabaya) หรือทาสกามารมณ์ ให้กับสมาชิกของกลุ่มนักรบไอเอสที่เมืองโมซุล หนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มภายในอิรัก

           หลังจากมีการประกาศผลรางวัลโนเบลในสาขาต่างๆ เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปีนี้ นาเดีย มูราด หญิงสาวชาวยาซิดี ชนกลุ่มน้อยของอิรัก ผู้เคยตกเป็นเหยื่อกามารมณ์ของสมาชิกกลุ่มกองกำลังไอเอสที่เข้ายึดครองบ้านเกิดของเธอภายในจังหวัดซินจาร์เมื่อปี 2014 ก่อนจะหลบหนีออกมาได้และผันตัวเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ร่วมกับ นายแพทย์เดนิส มุกเวเก สูตินรีแพทย์ชาวคองโก โดยทั้งสองคนเป็นผู้อุทิศตนเพื่อรณรงค์และช่วยเหลือผู้หญิงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงทางเพศอีกต่อไป

บาดแผลและคราบน้ำตาใน ‘ฝันร้าย’ ของนาเดียที่ไม่เคยจางหายไป

           นาเดียและหญิงสาวชาวยาซิดีกว่า 7,000 คนถูกลักพาตัว ขณะที่หมู่บ้านโคโช บ้านเกิดของพวกเธอทางตอนเหนือของอิรัก ถูกโจมตีด้วยกลุ่มกองกำลังไอเอสเมื่อปี 2014 แม่ พี่ชาย และน้องชายอีก 6 คนของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายนาเดียถูกบังคับให้กลายเป็น ‘ซาบายา’ (Sabaya) หรือทาสกามารมณ์ ให้กับสมาชิกของกลุ่มนักรบไอเอสที่เมืองโมซุล หนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มภายในอิรัก

           นาเดียเล่าว่า “ตลาดซื้อขายทาสกามารมณ์นี้จะเปิดช่วงกลางคืน ผู้หญิงทุกคนที่ถูกจับตัวมาจะอยู่ชั้นบนของตัวอาคาร และรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายและอึกทึกครึกโครมของเหล่าสมาชิกกลุ่มไอเอสที่กำลังต่อรองเรื่องหญิงสาวที่จะตกเป็นเหยื่อความใคร่ของพวกเขาในคืนนั้น หลังจากที่สอบถามประวัติเบื้องต้นเสร็จ พวกเขาจะขึ้นมาเลือกเหยื่อโดยการสอบถามชื่อ อายุ รวมถึงประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังแตะต้องเนื้อตัวของเหยื่อที่ถูกลักพาตัวมาได้อย่างเต็มที่ เขาทำเหมือนพวกเราเป็นสัตว์ แม้เสียงกรีดร้องและเสียงอ้อนวอนจะดังก้องแค่ไหนก็ตาม”

           กลุ่มกองกำลังไอเอสใช้ซาบายาเป็นหนึ่งในเครื่องมือเสริมสร้างแรงจูงใจ ดึงดูดสมาชิกคนใหม่ ๆ ให้หันมาเข้าร่วมกลุ่มและปฏิบัติการก่อการร้าย โดยการข่มขืนถูกใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในช่วงการทำสงครามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามโลก สงครามอินโดจีน หรือแม้แต่สงครามและความขัดแย้งกับกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

           นาเดียยังเผยต่ออีกว่าในคืนนั้นเธอถูกเลือกไปโดย ฮัจจี ซัลมาน ผู้พิพากษาแห่งเมืองโมซุล สมาชิกระดับสูงของกลุ่มไอเอสในย่านนั้น เธอถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกายอย่างหนัก ท้ายที่สุดช่วงเวลากว่า 1 ปี 3 เดือนที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นก็จบสิ้นลง เธอสามารถหลบหนีจากกลุ่มไอเอสได้ ก่อนจะเริ่มต้นสถานะของผู้ลี้ภัยและเดินทางมุ่งหน้าสู่เยอรมนีเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

           โดยเธอตั้งใจที่จะกลับมาช่วยเหลือหญิงสาวชาวยาซิดีและเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายอย่างที่เธอเคยพบเจอมา เธอจึงตัดสินใจเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ต่อต้านการค้ามนุษย์ และยุติการใช้ความรุนแรงทางเพศต่อเด็กและผู้หญิง

อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของ นาเดีย มูราด

           ในปี 2015 นาเดียเดินทางเข้าร่วมการประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยประเด็นของชนกลุ่มน้อยที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และนั่นคือการบอกเล่าเรื่องราวของฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตของเธอบนเวทีระดับโลกเป็นครั้งแรก “ฉันต้องการจะพูดทุกเรื่องที่ฉันเคยพบเจอมา มีเด็กจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากภาวะขาดน้ำขณะหลบหนีกองกำลังไอเอส มีชาวบ้านจำนวนมากในป่าที่ยังรอคอยการช่วยเหลือ มีผู้หญิงและเด็กหลายพันคนที่ยังคงถูกจับกุมตัว มีเหตุสังหารหมู่นองเลือด ฉันเป็นหนึ่งในไม่กี่ร้อยคนจากหญิงสาวชาวยาซิดีหลายพันคนที่ถูกจับตัวไปแล้วสามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้ ชุมชนของฉันกระจัดกระจาย บ้างก็อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงในอิรัก บ้างก็ตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศ มีเรื่องราวมากมายที่โลกควรจะต้องรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราชาวยาซิดีบ้าง

           “ฉันต้องการสถานที่ปลอดภัยให้แก่ชนกลุ่มน้อยต่างศาสนาในอิรัก นำตัวกลุ่มกองกำลังไอเอส ทุกคนมารับโทษจากการสังหารหมู่และก่ออาชญากรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง พร้อมทั้งปลดปล่อยทุกพื้นที่ของจังหวัดซินจาร์ที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของไอเอส และฉันจะพูดถึงความป่าเถื่อนที่ฮัจจีข่มขืนฉัน นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของฉัน แต่ฉันพร้อมที่จะบอกเล่าทุกเรื่องราวของฉัน เพราะนั่นเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดเพียงอย่างเดียวที่ฉันมี”

           นาเดียระบุว่า “มันไม่ง่ายเลยที่คุณจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างของตัวคุณเอง ยิ่งถ้าเป็นบาดแผลในใจด้วยแล้ว ในแต่ละครั้งที่คุณพูดถึงมัน คุณจะหวนระลึกถึงความรู้สึกนั้นเสมอ เวลาที่ฉันเล่าถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น สถานที่ที่ผู้ชายพวกนั้นข่มขืนฉัน แรงฟาดของแส้ที่ฮัจจีเฆี่ยนตีฉันขณะซ่อนกายอยู่ใต้ผ้าห่ม ท้องฟ้าอันมืดมิดของเมืองโมซุลที่ไร้วี่แววสัญญาณที่จะยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทุกอย่างมันพาฉันกลับไปสู่ห้วงความจำอันเลวร้ายจุดนั้น และฉันคิดว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อก็คงเผชิญชะตากรรมนี้ไม่ต่างจากฉันเช่นกัน”

           เรื่องราวของนาเดียเป็นเพียงเครื่องมือที่ดีที่สุดเครื่องมือเดียวที่เธอมีในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย โดยเธอตั้งเป้าจะนำผู้ก่อการร้ายทุกคนมารับโทษให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งเธอตระหนักถึงความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถแก้ไขและยุติปัญหานี้ได้เพียงตัวคนเดียว เธอจึงจำเป็นต้องร้องขอให้ผู้นำประเทศ โดยเฉพาะผู้นำจากโลกมุสลิม ร่วมกันยืนหยัดและต่อสู้แก้ไขปัญหานี้ร่วมกันกับเธอ ซึ่งเธอหวังว่าเธออยากจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายบนโลกที่เผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้

เอกสารอ้างอิง

ณรงค์กร มโนจันทร์เพ็ญ. ‘เขาทำเหมือนพวกเราเป็นสัตว์’ นาเดีย มูราด เหยื่อกามารมณ์กลุ่มไอเอส
           เจ้าของโนเบลสาขาสันติภาพ 2018
[ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://thestandard.co/nadia-
             murad-isis-sex-slave-nobel-peace-prize/ [1 มิ.ย. 2563].
NEW18. นาเดีย มูราด หญิงสาวผู้กล้าแกร่ง : จากทาสกามไอเอส สู่โนเบลสันติภาพ [ออนไลน์].
            แหล่งที่มา: https://www.newtv.co.th/news/2... [1 มิ.ย. 2563].

เมื่ออ่านแล้วโปรดประเมินความพึงพอใจโดย   คลิกที่นี่ ขอขอบคุณ

อ่านแล้ว น่าจะลองทำแบบฝึกหัดซักหน่อย 2 ข้อ เท่านั้นเอง
หากต้องการทำแบบฝึกหัด
คลิกที่นี่ได้เลย

หมายเลขบันทึก: 678707เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2020 10:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน 2020 21:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท