ตั้งแต่ผมถูกท่าหนุ่มชุมพรเอาไม้จิ้มตา ผมก็รู้สึกว่าจะต้องหาที่ที่ผมจะไปจิ้มตาคนอื่นๆ
ปรากฏว่าผมทำไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่
จะว่าเป็นจริตก็ได้
หรือเป็นขีดจำกัดก็ได้
เพราะ ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น จะหาคนที่นั่งอยู่ว่างๆ ยากเหลือเกิน ยกเว้นคนไม่คิดจะทำอะไร ที่ผมไม่คิดจะคุยต้วยอยู่แล้ว
เพราะ คนที่ไม่คิดจะทำอะไร ผมก็ไม่รู้จะชวนให้เสียเวลาทำไม
ฉะนั้น ผมก็บังเอิญ ไปชวนคนที่ไม่ค่อยว่างซะด้วย
ผลก็คือง่ายๆว่า ไม่ว่างพอที่จะมาอ่าน และเขียน บล็อก
แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่มีขีดจำกัดเหล่านี้ และเขารู้ไหมว่า blog มีข้อดีอย่างไร
ดีอย่างไร อาจจะไม่สำคัญเท่า เขาจะมาใชได้อย่างไร
เรื่องนี้เป็คำถามงูกินหาง ที่ว่า เมื่อเขาไม่รู้ ก็ไม่ได้เข้ามา และกลับกัน
ดังนั้นเราอาจต้องกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานในBlog ที่จะทำให้เกิดความง่ายต่อการเข้า และเข้าใช้งาน
ประเด็นที่จำกัดมากที่สุดนั้นก็คือเวลาในการทำงาน ทั้งอ่าน และตอบ
ประเด็นต่อมาก็คือ ความชอบ หรือ จริตก็ว่าๆด้
ประเด็นที่สาม คือความสามารถในการทำงาน
ประเด็นที่สี่ คือปัจจัยสนับสนุน หรือบีบบังคับที่ทำให้ทำได้
ปรเด็นที่ห้า คือ อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนและผู้ร่วมงาน
ประเด็นที่หก ทางเลือกในการตัดสินใจดรงตามตวามชอบของตนเองมากหรือน้อย
ประเด็นที่เจ็ด ระบบครอบครัวสนับสนุน
และ ฯลฯ
ขอความกรุณาให้ท่านลองช่วยเสนอ จากประสบการณ์ของท่านกับคนที่รู้จัก เพื่อความเข้าใจในเป็นการวางแผนในการทำงานในระดับ
ผมคิดว่า ข้อมูลนี้น่าจะนำมาประมวล เพื่อประเมินสถานการณ์เพื่อการทำนายฝัน KM ในมุมด่างๆได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณครับ
เคยพยายามช่วยพี่ที่รู้จักมาเขียน เพราะเห็นว่าพี่เค้าเป็นคนมีมุมมองที่เรียกว่าแหวกแนว คิดไว กล้าคิด แต่ผลของการชวนก็คือ...พี่ไม่มีเวลาหรอก
"แค่ทำงาน ประชุม เตรียมสอน เป็นที่ปรึกษาโครงงาน รับงานนอก โอ้ย...แค่โทรหายังไม่มีเวลาเลย" ว่าไปนั่น
สรุปว่า...คนที่ว่าง...ไม่มีอะไรจะทำ...คือคนที่เขียน Blog !?!?!?!???
ไปดีกว่า หนูไม่ว่าง...Jump
^_____^
สำหรับผมวางแนวทางการทำงานร่วมกับ gotoknow ดังนี้ครับ
ก็ไม่เป็นตามนี้ทุกวันแต่ก็ใกล้เคียง สำหรับวันทำการนะครับ ถ้าเป็นวันหยุดก็จะพักผ่อนตามปะสาครับ อย่างมากก็แค่อ่านแต่จะไม่เขียน เพราะวันนั้นไม่ได้ทำงาน ไม่มีอะไรจะเขียน
ด้วยความเคารพครับท่านอาจารย์แสวง
คุณ กันยาพร นันทิกา กัมปนาท
ขอบคุณมากสำหรับข้อมูล
ผมพยายามรวบรวมเพื่อไว้คุยกับ เจ้าของงานว่ากลุ่ม blogger มีความเห็น ปัญหา ขีดจำกัด อย่างไร
เผื่อเขาจะนึกอะไรออกมากขึ้นนะครับ
ขอเสริมประเด็นครับอาจารย์ คือ
1.ไม่รู้
2. ไม่มีเทคโนโลยีครับอาจารย์
ด้วยความเคารพ
อุทัย
ผมเคยคุยเรื่องนี้ไว้ใน blog ของผมที่ bloggang และที่ multiply ครับ (คล้ายๆ กับที่ bloggang)
ถ้าผมเขียนที่นี่อีกก็จะเป็นรอบที่สามแล้ว แต่ผมก็จะเขียนครับ (อาจจะไม่ใช่เร็วๆ นี้)
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่ามุมมองผมเปลี่ยนไปพอสมควร จากที่เคย blog เล่นๆ กับการ blog การบ้าน
สรุปสั้นๆ ตรงนี้นะครับ ผมชอบความคิดของคุณ Christopher Sessums เพื่อนร่วมชั้นเทอมก่อน
เขาบอกว่า blog เป็นการเขียนความคิดแบบกึ่งสุขกึ่งดิบครับ (half-baked thoughts) ซึ่งตรงกับที่ท่านอาจารย์ ดร.แสวงกำลังทำอยู่ คือการสอบถามทั้งตัวเอง และคนในวงสังคมเดียวกัน
โยงมาถึงประเด็นที่อาจารย์เสนอไว้นะครับ ผมเห็นด้วยกับประเด็นเรื่องเวลา ถ้าแม้ผมจะไม่ชอบเวลาคนแก้ตัวว่าไม่มีเวลาก็ตาม (สำหรับผมไม่มีเวลา คือไม่เห็นความสำคัญ)
ประการถัดมานี่โดนใจมากครับ อาจารย์เลือกคำว่า "จริต" ซึ่งเหมาะมากครับ คนเราชอบต่างกัน เสพสื่อต่างกัน แต่ผมขอต่ออีกนิดหนึ่งครับ
เพราะผมเชื่อว่าการเขียนเป็นทักษะที่ไม่ง่าย ดังนั้นคนจะ blog แล้วมีคนติดตาม ก็ต้องเขียนเก่ง มีลีลาเฉพาะตัว เสนอประเด็นชัดเจน
ประเด็นอื่นที่อาจารย์ให้ไว้ ก็ถือว่ามีความสำคัญครับ แต่ผมเชื่อว่าประเด็นเหล่านี้ไม่สามารถเพิ่มคุณภาพของ blog ได้
ขออธิบายคำว่าคุณภาพนิดหนึ่งนะครับ
ผมมองการเขียน blog เป็นการสอบถามความคิดตนเองและผู้อื่นอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
ถ้าจะอ้างทฤษฎีก็ต้องโยงไปที่ Bloom's taxonomy ที่กล่าวถึงระดับความคิดของผู้เรียน
ผมมองว่าการ blog ต้องก้าวเลยระดับความเข้าใจ ขึ้นไปถึงการวิเคราะห์ สังเคราะห์ได้ครับ
ซึ่งตรงนี้ตรงกับจุดประสงค์ของ gotoknow ที่สนับสนุนให้ใช้ tacit knowledge ซึ่งเป็นการนำความคิดภายในมาแปรเป็นอักษร จะทำได้ก็ต้องผ่านกระบวนการคิดของคนเขียน ทบทวนกลับไปกลับมา มีการโยนคำถามเพื่อหาข้อคิดเห็นไปด้วย
พูดแล้วก็เป็นเรื่องเดียวกันกับ Bloom's taxonomy มองคนละมุมเท่านั้นเองครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์แสวง
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะคะ