ผมรับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมและท่านคุ้นเคยและเคยร่วมกันทำงานด้วยกันในช่วงที่ผมยังไม่ลาออกจากราชการ น้ำเสียงของท่าน ผอ.ดูมีพลังและมีความตั้งใจที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนาตลอดเวลา จนผมรู้สึกได้
ท่าน ผอ. โทรมาคุย ถึงเรื่อง การพัฒนาโรงเรียน พัฒนาบุคลากรในโรงเรียน เน้นไปถึงเรื่องการวิจัยและพัฒนาในระดับครูอาจารย์ในสถานศึกษาของท่าน
ท่านเล่าว่า ได้ไตร่ตรองมาช่วงหนึ่ง เห็นว่าการพัฒนาโรงเรียนยังไม่คืบหน้า องค์ความรู้ของคุณครูที่คลุกคลีกับเด็ก กับระบบการศึกษา ไม่ได้ถูกเก็บมาเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการพัฒนา
มีคุณครูกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน และจับประเด็นอะไร (หลังจากที่ผมเคยไปขายไอเดียเรื่องการวิจัยเพื่อท้องถิ่น) ถึงวันนี้ก็ยังเกิดภาพของความไม่เข้าใจ และยังไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง แต่ก็ได้เห็นถึงประโยชน์ของงานวิจัยและพัฒนา ว่าหากคุณครูได้ทำก็จะเกิดประโยชน์ในการนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาศักยภาพของครูเอง
ท่าน ผอ.ได้ตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไร? ให้เกิดการใช้ความรู้ที่มีอย่างหลากหลายของคุณครูแต่ละท่านให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ท่านขอเชิญผมไปเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาบุคลากร ตามบริบทที่ท่านเล่าและคาดหวังมา
ผมพอจับความคาดหวังของ ท่าน ผอ.ได้ว่าท่าน คิดเรื่อง “KM” นั่นเอง เพราะวัตถุประสงค์ที่ตั้งมาอย่างนั้น คือ การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาองค์กร
ผมดีใจครับ
พอถึงเรื่อง KM ก็ดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมทันที เพราะเข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนระดับองค์กร และการเคลื่อนในทุกมิติของผู้เกี่ยวข้อง ในการจัดการความรู้ ดังนั้นแล้ว กระบวนการที่จะร่วมกันคิดในการพัฒนาตั้งแต่เริ่มแรก ต้องคิดกันให้มาก ไม่ได้แค่ไปพูดคุยกันแล้วจบ แล้วทำ และเสร็จ (ตามกรอบเวลา)เหมือนที่เคยเห็นมา
เพราะปัจจัยเอื้อที่ดีที่สุดตรงนี้ คือ ผู้บริหารเอาด้วย ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ...แต่กำลังหาวิธีการขับเคลื่อนการพัฒนาความรู้ ผมรับปากเรื่องการเข้าไปร่วมแลกเปลี่ยนเพื่อการย่างก้าวสำคัญในครั้งนี้ (ผมกล้าพูดได้ว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนแห่งแรกในแม่ฮ่องสอน ที่คิดแบบนี้)
เพราะสำคัญ...มากในการเริ่มต้น ในขณะที่ผมต้องขอกลับนำประเด็นที่คุยเป็นการบ้าน เพื่อวางแผนการดำเนินการในครั้งนี้ ด้วยความที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่โชคดีที่มีกัลยาณมิตร ท่านผู้รู้ ใน สคส. ใน Gotoknow ที่หลากหลายและมีประสบการณ์ ผมจึงขอนำประเด็นนี้มาเขียนเพื่อขอความเห็นในการแลกเปลี่ยน และออกแบบกระบวนการ ชี้ให้เห็นภาพรวมของงาน ก่อนที่ผมและผู้อำนวยการ รร. คุณครู จะประชุมกันเพื่อร่วมกันคิดในระดับโรงเรียนต่อไป
ขอทุกท่านกรุณาช่วยแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยน กระบวนการที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วยครับ..
ผมขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
คุณ Kamphanat Archa (Jack)
ผมได้ข้อมูลจากการคุยกัน แต่ส่วนตัวผมทราบบริบทบางอย่างของโรงเรียนนี้บ้าง...
คิดว่าไม่ยากนัก หากจะทำกระบวนการเรียนรู้ ครับ
ต้องขอรบกวนแชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนบ่อยๆนะครับ
ขอบคุณมากครับ
เรียนอาจารย์ปภังกร
ขอเป็นการ Compile ข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ก่อนครับ
คงไม่ใช่ประเด็นที่ต้องทำเองครับ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้มีประสบการณ์ก่อน
ผมเข้าใจว่า กระบวนการ เป็นแบบนั้นแน่นอนคือ การช่วยกันคิด ช่วยกันมอง และเลือกเส้นทางที่ว่าใช่ และการถอดบทเรียน(Lesson-learned)ของที่อื่นๆที่ผ่านมา หรือที่เป็น Best Practice ที่สามารถเป็นแบบอย่างได้ นอกจากที่ผมจะอ่านงานของท่านอื่นๆ การขอความเห็นในแวดวงคนทำงาน ก็เป็นกระทำที่ชอบใช่มั้ยครับ
ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นข้อมูลสำคัญที่เราจะนำมาคิดต่อ
หากบทบาทผมจะเป็นผู้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ผมควรจะเก็บข้อมูล และสังเคราะห์ความรู้ชุดหนึ่งไว้ก่อนไม่ใช่หรือ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ผมมองในภาพรวม ให้เด่นชัดมากขึ้น
ซึ่งในกระบวนการจริงๆแล้ว ตามที่อาจารย์ปภังกรเขียนมาครับ ผมยังไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้นครับ
ที่สุดแล้วคนอยู่กับองค์กรก็คือคนในองค์กรนั่นเองครับ
ผมเข้าใจและตระหนักอยู่เสมอ
ขอบคุณครับ
เป็นโอกาสดีมากครับที่ KM จะเข้าไปมีบทบาทในโรงเรียน
อ่านบันทึกของคุณจตุพร ทำให้ผมนึกถึงการบรรยายของ ทพ.อุทัยวรรณ กาญจนกามล นักวิชาการตีนติดดินอีกท่าของเชียงใหม่ที่ผมเคยไปฟังบรรยายเมื่อเดือนที่ผ่านมา
หมออุทัยวรรณว่า "ทีมนวัตกรสังคม" นั้น ต้องประกอบไปด้วยคนสี่กลุ่ม (FAME)
F- facillitator หรือคุณเอื้ออำนวย
A- advocates หรือคนก่อกระแส/จุดประกาย
M- mediator หรือผู้ประสานงาน
E-empoweror หรือผู้เสริมสร้างพลัง
ถ้ามีครบองค์สี่นี้แล้วก็เดิน KMได้ครับ
ทั้งสี่องค์นี้อาจจะรวมอยู่ในคนๆเดียวก็ได้ แต่ไม่แนะนำเพราะจะเป็นวันแมนโชว์....เหนื่อยมากๆๆๆๆและอาจจะได้คำด่ามาเป็นของแถม
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับหมออุทัยวรรณโดยเฉพาะในประเด็น คนก่อกระแส/จุดประกายนี่ ต้องมี "ลีลา" "ลูกเล่น" หรือ "ชั้นเชิง" ที่เข้า "ถึงอกถึงใจ"กลุ่มเป้าหมาย
การก่อกระแสนี่สำคัญครับ เพราะเป็นบันไดขั้นแรก ลำพัง ผมไม่เชื่อในฝีมือของผู้บริหารเพียงคนเดียว ที่มีข้อจำกัดมากมาย อย่างนี้ต้องเป็นทีมลูกผสม เป็นสหวิชาชีพรวมกับบรรดานักคิดอิสระได้ยิ่งดี และเป็น คนที่มีความคิด "พันธุ์ทาง" ด้วยนะครับ
จะก่อกระแสอย่างมี "ชั้นเชิง" ได้อย่างไร อันนี้ต้องใช้การจัดเวทีมานั่งคุยกันจริงๆจังๆ
ผู้บริหารท่านนี้(รวมถึงท่านอื่นๆ) ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเอาจริง มิใช่อะไรๆก็ KM KM ตามแฟชั่น พอเห็น MK ก็ลืม
ที่สำคัญ ต้องการหาญ กล้ายืนหยัดในความถูกต้อง และกล้าเจ็บด้วย มิฉะนั้น จตุพรเองล่ะครับจะเป็นฝ่าย "ถูกต้ม" (จนเปื่อย)
ทั้งนี้ตลอดกระบวนการต้องไม่ลืม "สุนทรียสนทนา" ด้วยนะครับ
ลองกลับไปถามท่าน ผอออ ดูนะครับว่า ด้วยเงื่อนไขของ KM มันง่ายอย่างนี้ แต่ถ้าสำเร็จมันก็คุ้ม ท่านจะ KM กันไหม???
หรือพากันไป MK ง่ายกว่า (555)
ถ้ามีอะไรให้ ทางผมและทีมสโมสรผู้นำเยาวชนปางมะผ้า (สยชช.) ช่วย ก็บอกมา สำหรับคุณจตุพรแล้ว พวกเราเต็มใจครับ
ขอบคุณพี่ยอด (ยอดดอย)มาก
ผมพอเห็นทางที่ชัดขึ้น ผมคุยกับเพื่อนนักพัฒนาด้านเด็กที่เชียงใหม่ และเธออยากรู้จักกับ สยชช. สักวันผมจะแนะนำให้รู้จักกันครับ
สยชช. ได้ร่วมด้วยช่วยกันแน่ๆครับ
เพราะโรงเรียนที่ผมบอกอยู่ห่างจากบ้านน้องออมสิน ประมาณ ๒ กิโลเองครับ
ลองดูนะครับ เอาเป็นว่าตรงไหนโดนใจก็เอาไปปรับอีกทีนะครับ ตรงไหนยังไม่ค่อยเข้าท่าก็ลืมๆมันไปก่อนนะครับ
ประการแรกสุด อ่านจากบันทึก คุณเอื้อ (ผอ.โรงเรียนท่านนั้น) เป็นคนชี้เป้า กับคุณจตุพร ประมาณว่า เขาต้องการพัฒนาคน (หมายถึงนักเรียนและครู - ครูที่ดีต้องไม่ทิ้งนักเรียนนะครับ ไม่เฉพาะครูอย่างเดียว จะทำการใดต้องมองให้เห็นว่าจะเชื่อมโยงกับลูกศิษย์อย่างไรบ้าง) พัฒนาโรงเรียน
กระบวนการคลี่โจทย์ เป็นสิ่งแรกที่ต้องคุยกันก่อน คุณจตุพรอย่าพยายามคลี่มันนะครับ ต้องทำทุกวิถีทางให้เจ้าของเขาคลี่โจทย์ด้วยตัวเขาเอง ยิ่งมีครูอาจารย์ในโรงเรียนมาช่วยกันทำความเข้าใจโจทย์ของเขาเอง ก็จะยิ่งดีครับ "พัฒนาคน พัฒนาโรงเรียน" สำหรับผมแล้วโจทย์ยังใหญ่และกว้างมากสำหรับ การออกแบบ exercise ให้เขาเรียนรู้ การจัดการความรู้ด้วยตัวเขาเอง
ผมยกตัวอย่างโจทย์ที่กลุ่มโรงเรียนเคยใช้กันนะครับ เช่น พัฒนาการออกแบบการเรียน-การสอน, ค้นหาและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชน, อย่างนี้เป็นต้น
ทำไมหัวปลาต้องชัดเจน?
หากเป้าไม่ชัด เวลาเราออกแบบกิจกรรมมันจะยาก และมันจะไปคนละทิศ คนละทาง
แต่ต้องอธิบายครูอาจารย์ก่อนนะครับ ว่าเราจะเรียนรู้จาก exercise เล็กๆ พอได้ feeling KM แค่นั้นเอง ซึ่งต่อไปเขาต้องเอาไปทำเอง และทำบ่อยๆ สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง บนงานประจำวันที่โรงเรียน แล้วมันจึงจะเห็นผล
เห็นด้วยค่ะ ว่าการพัฒนาต้องเริ่มที่บุคลากรในสถานศึกษา
ส่วนเนื้อหาในการพัฒนาให้กับบุคลากรทางการศึกษาที่จะส่งต่อให้กับเด็กๆ นั่น โดยส่วนตัวเห็นว่า การสร้างกระบวนการทางความคิดให้เด็กมีศักยภาพในการคิดที่จะดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางด้านวิชาการค่ะ
พัฒนาคน พัฒนาโรงเรียนอาจจะเป็นเป้าใหญ่ ที่ประกอบด้วยเป้าเล็กๆอีกหลายเรื่อง
สมมติว่าครูอาจารย์เขาเลือกโจทย์จากเป้าเล็กมาตัวหนึ่ง ผมสมมติว่าเป็นการพัฒนาการเรียน-การสอน
ทีนี้ต้องให้เจ้าของเรื่องช่วยกันสำรวจ สแกนหา "ครูที่ออกแบบการเรียน-การสอนได้ดี" ที่มีอยู่แล้ว (เข้าใจว่าการเรียน-การสอนเอง ก็ยังมีองค์ประกอบเล็กๆอีกหลายตัว ดังนั้น ครูหนึ่งคน อาจจะทำได้ดีเพียงแค่ด้านใดด้านหนึ่ง ก็ OK แล้ว รวบรวมมาให้หลากหลาย ไม่จำเป็นว่าต้องมองอยู่ในโรงเรียนเดียว ดูข้ามไปถึงโรงเรียนอื่นๆด้วย ช่วยกันชี้ตัว แล้วเชิญเขามาให้ได้
คำเตือนสำหรับครูอาจารย์ ที่คุณจตุพรอาจจะต้องขอยกเว้นคือ การเรียน-การสอนที่ดี นั้น เวลาสแกนมองหา best/good practise นั้น อย่ายึดตามคำบอกเล่าตามตำรา แต่ให้มองทะลุไปถึงผลที่เกิดขึ้นกับศิษย์เป็นสำคัญ
อาทิตย์หน้า คุณเอก อยู่ที่ปาย หรือเปล่าค่ะ
ฝากเสื้อหนาวเพื่อนขึ้นไปให้ผู้เฒ่าที่ปายค่ะ
เมื่อได้ตัว "คุณกิจ" แนวหน้า มากลุ่มหนึ่ง ทีนี้ก็ลอง design เวที ลปรร. ทำอย่างไร หรือวิธีการใดก็ได้ จะเป็นทาง หรือไม่เป็นทางการ หรือลูกผสมก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าสภาพการณ์เฉพาะของที่นั่น เหมาะกับแบบไหน ตรงนี้ต้องให้เจ้าของเขาช่วยกันคิดด้วย
แค่ขั้นเตรียมการนี้ ก็เป็นการเรียนรู้จัดการความรู้ไปบ้างแล้ว ซึ่งถ้าออกแบบดีๆ ตกผลึกอะไรดีๆออกมาได้ก่อนบ้างแล้วในช่วงเตรียมการนี้
ในเวที ลปรร. จากประสบการณ์ของ สคส. เราพบว่าเครื่องมือตัวหนึ่งที่ได้ง่าย และได้ผลดีเสมอ คือ "การเล่าเรื่องความสำเร็จ" ให้คุณกิจ แนวหน้า ได้เล่าว่าความสำเร็จจากสิ่งที่เขาทำคืออะไร ลูกศิษย์ได้อะไร และเขาทำมันอย่างไร? (how-to) ในระหว่างที่ทำพบปัญหาอะไรบ้าง ข้ามผ่านมาได้อย่างไร ประมาณนี้เป็นต้น
หา "คุณกิจ" ช่วยบันทึก (แล้วแต่จะเลือกวิธีบันทึก - เขียนเรื่องเล่า, จับประเด็น, ถ่ายวิดีโอ, บันทึกเสียง เป็นต้น) และอย่าลืมชวนครูอาจารย์ช่วยกันออกแบบวิธีการบริหาร "ขุมความรู้" เหล่านี้ด้วย ว่าวิธีใดที่เขาคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับเขามากที่สุด เข้าถึงง่าย เอามาใช้แล้วได้แรงบันดาลใจดี ทำให้ครูมีพลังขึ้น เป็นต้น
ทุกคนที่เข้าร่วมควรได้มีบทบาทในการซักถาม โดยเฉพาะไอ้ตัว how-to
คุณจตุพรลองใช้หลัก deep listening เป็นเงื่อนไขในวงสนทนา
และทำ AAR: After Action Review ทุกครั้ง ทุกเวที ก็จะช่วยให้การตกผลึกความคิดดีขึ้นด้วยครับ
ที่จริงมีอีกคนที่จับเรื่องโรงเรียนเยอะกว่าผม คุณหญิง (นภินทร ศิริไทย) เข้าใจว่าเคยคุยกับคุณจตุพรไปบ้างแล้ว ลองเข้าไปคุยที่ http://learn2fly.gotoknow.org
น่าจะได้ไอเดียที่เอาไปลองใช้ได้ดีกว่าจากผมนะครับ
ผมอ่านแบบคิดตามโดยละเอียดตาม ที่ อาจารย์ธวัช ได้ให้ข้อแลกเปลี่ยนเข้ามา...
รู้สึกดีใจและได้เห็นบางแง่มุมที่ผมเองยังนึกไม่ถึง ดังนั้นแล้วการที่ผมได้เรียนรู้และเห็นภาพใหญ่ในส่วนของตัวกระบวนการทำให้ผมเข้าไปแลกเปลี่ยนกับ ท่าน ผอ.และทีมงานได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม บริบท และวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ และสำคัญยิ่งกว่าคือทัศนะ ความคิดและความเชื่อของคุณเอื้อ/ ผู้บริหาร
ผมขอขอบคุณอาจารย์มากครับ...อบอุ่น มั่นใจมากครับ
ยังมีอีกหลายๆประเด็นในการก้าวเดินของพวกเรา และต้องขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์ และทีมงานของ สคส.ในครั้งต่อๆไป
พี่ visitsri
ขอบคุณที่มาช่วยเติมความคิดเห็น ในระดมความคิดการพัฒนาครั้งนี้ ผมเห็นว่าความเห็นและข้อแลกเปลี่ยนทุกท่านมีคุณค่ามากครับ
สัปดาห์หน้า หากพี่หมายถึงวันที่ ๑๘ - ๒๔ ธ.ค. ผมยังอยู่ที่เมืองปายครับ หากเพื่อนที่มาเที่ยวปาย คงต้องรบกวนให้โทรศัพท์แจ้งผมในตอนที่มาถึงเมือง ปายครับ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนในช่วงหนาวนี้ครับ
ผมว่าต้องพยายามบอกทุกคน ว่า KM ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทำมาเป็นล้านๆปีมาแล้ว เพียงแต่เรามาจัดระเบียบเพิ่มนิดหน่อย ให้ดูดีกว่าเดิม
ขันน็อตที่หลวมให้ดีขึ้น ก็เท่านั้นเองครับ
อาจารย์ ดร.แสวง ครับ
พอบอกว่า "KM" ผมก็คิดว่าทุกคนก็คงมึนๆเพราะเข้าใจไปคนละแบบ และเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจคงเป็นอย่างที่ อาจารย์ให้ข้อคิดเห็นมา
ขันน๊อตที่หลวมให้ดีขึ้น ใช่แล้วครับ
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
พี่ Mitochondria
หลังจากพี่กลับมาจากญี่ปุ่น ผมก็เห็นภารกิจที่ยุ่งๆของพี่เลยคิดว่ายังไม่ติดต่อในช่วงนี้ครับ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องของมิตรภาพ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อนะครับ วันที่กลับมาจากญี่ปุ่นคนไทยเราก็ทราบทั่วเหนือจรดใต้
ในข้อแลกเปลี่ยนของพี่ไมโตผมได้ความมั่นใจ และแนวทางที่ชัดเจนเพิ่มขึ้นครับ และหากเสริมจากอาจารย์ธวัชแล้วคล้ายคลึงกัน
ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการเริ่มต้นจากคนในองค์กร เปิดประเด็นและเริ่มต้นเคลื่อน จากประเด็นที่ไม่ใหญ่เกินไป เป็นประเด็นที่ถนัดและอาจทำได้ดีอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างบรรยากาศเรียนรู้
พอดีที่ต้องสนใจคำว่า KM เพราะผมดูภาพรวมครับ แต่ในการเข้าไปแลกเปลี่ยนในเวทีของโรงเรียนคงไม่ได้ใช้คำนี้ตรงๆครับ
ผมก็กำลังคิดว่า จะสรุปเขียนเป็นบทความ ครับ เห็นว่ามีคุณค่ามาก
ทุกประเด็น ทุกข้อความ และคิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับ คน KM ใน Gotoknow และผู้สนใจเรียนรู้ด้วย
ต้องขอบคุณมากเลยครับ สำหรับปิยมิตรเรียนรู้ร่วมกัน
"แนวทางปฏิบัติอันดีเลิศ จะไม่ก่อให้เกิดผล หากไม่เข้าถึงใจคน ต้องร้อนรนเพราะจนใจ" บทกลอนสั้นๆ สอนใจนักวิจัยเชิงคุณภาพที่ต้องใช้วิธีการเข้าถึงแบบเชิงลึก "ความสำเร็จจะเกิดผล หากได้เข้าถึงใจคน จะสุขล้นเพราะทุกคนร่วมกันทำ" กลอนอมยิ้มจากกระผมเอง
จากหัวข้อที่พี่จตุพร ตั้งมาทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า อาจารย์ของผม คือ อ.บุพผา คาดว่าพี่น่าจะรู้จัก ได้ไปทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาความรู้ทางด้านการวิจัยกับโรงเรียนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนแต่ผมจำไม่ได้ว่าโรงเรียนอะไร เดี๋ยวจะไปหาข้อมูลมาให้ครับ รู้สึกว่าจะเป็นโครงการใหญ่เหมือนกันเพราะมีการนำเอาองค์ความรู้มาเผยแพร่ มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โดย อ.นพ.วิจารณ์ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้วย ที่โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ ผมมีเอกสารด้วยแต่วันนี้ไม่ได้เอามาด้วย เดี๋ยวจะกลับไปดูให้อีกที บางทีอาจจะเกิดประโยชน์ต่อสิ่งที่พี่กำลังจะทำนี่ก็ได้
แต่เท่าที่ทราบ พบว่า ยังคงมีปัญหาอยู่ในเรื่องของกระบวนการทำวิจัยของครู คือ ประมาณว่าครูยังทำวิจัยไม่เป็น ทำให้ผลที่ได้จากการวิจัยนำปใช้กับกลุ่มอื่นๆ ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่นครับ
เดี๋ยวจะไปหาข้อมูลมาเติมเต็มอีกทีครับ
น้องปริวัตร
เชื่อมั้ยว่า โรงเรียนที่ อ.บุปผา ได้ไปทำงานวิจัย คือ โรงเรียนที่ผมเขียนในบันทึกนี่เอง(บังเอิญมั้ยครับ)
และปัญหาที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนนี้คือ ครูยังไม่มั่นใจ และยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แต่โดยบริบทแล้วที่ผมเห็นเป็นโรงเรียนที่มีงานนวัตกรรมที่ดีเด่นมาก
ผมประทับใจในการเป็นนักการศึกษามืออาชีพที่โรงเรียนนี้ครับ
ขอบคุณอาจารย์ ดร.ขจิตครับ
ผมขอบคุณจิตสาธารณะของอาจารย์เสมอมา และผมเองก็ได้รับการติดต่อจากนักพัฒนาหลากหลายให้เข้าไปร่วม ทั้งๆผมเองก็ชอบคิดอะไรไม่ค่อยออก ต้องเรียนรู้แบบโอเวอร์โหลดตลอดเวลา
ผมตระหนักเรื่องทำงานกับครู แต่หากเริ่มได้ดี ผมว่าเดินไปได้เร็วมากครับ
มีคนบอกว่าทำงานกับ พระ และ ครู นี่ยาก หากทำงานกับพระครู ยิ่งยากเข้าไปใหญ่...ถ้าจะจริง!!!
ขอแก้ไข นิดหนึ่งครับ (มือเร็วไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยครับ)
หาคุณลิขิต มาช่วยบันทึก (ซึ่งจริงๆอาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำได้ คุณกิจ คุณอำนวย หรือคุณเอื้อจะลงมาช่วยก็ยิ่งดี)
แล้วอย่าลืม เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ดำเนินไปให้ชาว gotoknow ได้ติดตามด้วยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
อยากไปเที่ยว home-stay แถวนั้นจัง แต่พอมีลูกเล็กๆ เลยหาโอกาสยากหน่อย เอาไว้ลูกโตกว่านี้หน่อยอาจจะขอคำแนะนำจากคุณจตุพรด้วยนะครับ
เรียนอาจารย์ธวัช ครับ
เห็นอาจารย์ตั้งใจในการให้ข้อคิดเห็นสำหรับบันทึกนี้ ผมมีกำลังใจขึ้นมากเลย
ไม่ลืมเล่าครับ...ผมถือว่าเป็นการเรียนรู้ อาจจะเรื่องเดียวกันแต่ต่างบริบท KM แบบภูธร แม่ฮ่องสอน น่าจะมีอะไรดีๆให้ได้ติดตามกันเรื่อยๆ
สำหรับการเที่ยวที่เหนือ สำหรับภาคเหนือตอนบน อาจารย์สามารถติดต่อผมได้เลยครับ เพราะเรามีเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน Home stay แบบเรียนรู้ และมีความสุขกับบรรยากาศสวยๆอากาศดีๆ(ตามบันทึกของผมที่เคยเขียนมา)
ที่แม่ฮ่องสอนเอง มีสถานที่สวยๆ และน้ำใจงามๆของคนท้องถิ่น มีให้สัมผัสหลากหลาย
ยินดีครับ หากอาจารย์จะมาเยี่ยมพวกเราบ้าง
คุณศศิธร และ น้องแขกคงบอกเล่าบรรยากาศให้อาจารย์บ้างแล้ว และอีกท่านหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะชอบบรรยากาศที่นี่ คือ ดร.ประพนธ์ ครับ
โอ้โห...ขอเก็บเกี่ยวด้วยนะคะ ^__^
ขอบคุณน้องเก่งอีกครั้งครับ...อาจจะต้องขอรบกวนน้องเก่งขอข้อมูลในบางส่วน นะครับ
พี่หนิงครับ
บันทึกนี้สมบูรณ์และมีคุณค่ามากครับ ผมกำลังจะเรียบเรียงออกมาใหม่ อย่างที่คุณกัมปนาทแนะนำมาครับผม
ขอขอบพระคุณผู้ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกท่านครับ หากมีประเด็นไหนที่จะเพิ่มเติม ยินดีนะครับ
เป็นไปได้ไหม ที่เด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้จะมาร่วมในกระบวนการ KM?
ในกรณีของคุณจตุพรนี่ ผมว่า KM กับสิทธิเด็ก โดยเฉพาะสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา มันไปด้วยกันได้ ก็บูรณาการกันซะเลย ถ้าโรงเรียนเอาด้วย (ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะครับ)ก็ต้องมาว่ากันเรื่อง จะออกแบบ KM แบบมีส่วนร่วมระหว่างครูกับนักเรียนนี้อย่างไร ?
โดยเฉพาะในบริบทสังคมไทย ที่โครงสร้างการจัดการศึกษาก็ดี โครงสร้างวัฒนธรรมก็ดี ล้วนเอื้ออำนวยให้ครู "อำนาจนิยม" กับเด็กอยู่เสมอ?
นี่ผมโยนโจทย์ใหญ่ให้ปวดกบาลรึเปล่าน้อ?
ยินดีครับ พี่ยอดดอย
ผมทราบดีว่า "สิทธิเด็ก" ที่กำลังเดินอยู่ในปางมะผ้า เป็นมิติใหม่(ในเรื่องเดิม) ที่ให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น
KM ตามที่อาจารย์ธวัชได้ ให้ข้อแลกเปลี่ยนมา ก็ต้องให้เกิดการมีส่วนร่วม ไม่ได้ทำเฉพาะครูเท่านั้น มองไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งมวลในระบบการศึกษาตรงนั้น
เป็นโจทย์ใหญ่และค่อนข้างท้าทาย ผมพูดแบบนี้ดีกว่า ในโจทย์ที่พี่นำเสนอมา
"จะออกแบบ KM แบบมีส่วนร่วมระหว่างครูกับนักเรียนนี้อย่างไร"
ร่วมด้วยช่วยกันนะครับ...มีโอกาสดีๆผมจะเดินทางไปพื้นที่ในเร็ววันนี้ครับ
น้องจตุพร
ขอแสดงความรู้สึกเพิ่มเติมครับพี่เอก
จากการอ่านความคิดเห็นของท่านอาจารย์ทุกท่านที่
เสนอมานั้น เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักเริ่มต้นเรียนรู้อย่างผมมากเลยครับ
เป็นการแลกเปลี่ยนที่เข้มข้น ละเอียดและทำให้เข้าใจ KM ได้ดีมากๆด้วยความรู้ที่เป็น TK ล้วนๆครับ
ชื่นชมกับพี่ชายมากๆครับ.......................
ครูนงเมืองคอน ที่เคารพ
ครูเปิดประเด็นเรื่องที่อยู่ในใจผมเรื่องหนึ่งครับ ประเด็น "การวิจัยในชั้นเรียน" ผมมองว่าตรงนี้หละครับ เป็นจุดแข็งของครู เป็นกระบวนการที่ทำให้ครูมาร่วมกันได้ โดยการวิจัย WIN - WIN บรรยากาศน่าจะดี
เริ่มจากจุดเล็กๆ ไม่ให้มองเป็นภาระเพิ่ม แต่ให้ทำด้วยใจ ด้วยความสนุกสนานที่จะทำ ...(ยากเหมือนกัน)
ที่สำคัญก็คือ ใจเย็นๆ ใช่มั้ยครับ ครูนง ผมเองสไตล์มวยวัดเหมือนกัน แต่ได้พี่เลี้ยงเยอะ
เวทีนี้อบอุ่นครับ
น้อง หมอ kmsabai
เห็นด้วยครับกับองค์ความรู้ที่น่าตื่นเต้น ตรงนี้เป็นความพิเศษของ G2K เลยครับ
ผมรู้สึกไม่ได้โดดเดี่ยวเวลาคิดและทำอะไร..
ผมชื่นชมทุกคน ชื่นชมความรู้สึกสาธารณะที่ทุกคนมี เอาไว้เรานัดกันทานข้าวเย็น คุยเรื่องนี้อีกทีนะน้องหมอ
เป็นแนวทางที่ดีมากเลยครับ ตอนนี้ผมกำลังประสบปัญหาคือ ครูเขาไม่เข้าใจว่า KM คืออะไร และการทำวิจัยเขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ช่วยแนะนำด้วยครับ
คุณเอกคะ ... ดิฉันไม่มีประสบการณ์ในการทำกิจกรรม KM กับครูและนักเรียนโดยตรง แต่เคยเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน
มีเรื่องเล่าไว้หลายที่ค่ะ
ที่ทีมของเราทำ KM กัน มักจะเริ่มด้วย
ท่าน ผอ.ใหม่เมืองแป๊ะ
ผมคิดว่า เป็นการเริ่มต้นเหมือนกัน ศึกษาไปด้วยกัน ตามที่เราได้เรียนรู้ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ณ พื้นที่เสมือนแห่งนี้ ผมเองก็ต้องเรียนรู้ใหม่ครับ
เรื่อง วิจัย ไม่ใช่เรื่องยากครับ เป็นการตั้งโจทย์ และค้นหาวิธีการแก้โจทย์ อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน และที่สำคัญนำไปใช้ในบริบทจริง เรียก R&D ตรงนี้ผมว่าครูมีศักยภาพในเรื่องนี้ครับ
ดังนั้นแล้วเรามาเริ่มต้นด้วยกันดีมั้ย..แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการเขียนบันทึก เพื่อเป็นเพื่อนกัน ผมว่าน่าสนใจครับ
ลองดูครับ เรามีพี่เลี้ยงมากมายครับ...หากตั้งใจทำจริงๆ ไม่โดดเดี่ยวแน่นอน
ให้กำลังใจ ท่าน ผอ.ใหม่
เรียน อาจารย์หมอนนทลี
ประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการอ่านบันทึกของอาจารย์มีคุณค่ามาก สำหรับการเรียนรู้เพื่อใช้ในสถานการณ์พัฒนาจริงๆ
สำหรับ Link ที่ให้มาผมตามเก็บรายละเอียดทั้งหมดแล้วครับ...ทั้งหมดผมจะนำมาประมวลเขียน เพื่อเก็บไว้อ่าน และนำไปแชร์กับคุณครูครับ
การดำเนินการเป็นอย่างไรในพื้นที่ จะนำมาเขียนบันทึกใน Blog เป็นระยะๆครับ
ขอบคุณอาจารย์หมอนนท์ มากครับ
ขอบคุณน้องเก่ง ปริวิตร เขื่อนแก้ว ครับ
ได้บันทึกไว้เรียบร้อย และจะนำเอกสารที่รวบรวมทั้งหมดไปมอบให้คุณครู
ผมยังได้สรุป How to แบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ไว้ด้วย เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและการนำเสนอทางบันทึกอีกครั้ง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
มาให้กำลังใจ พร้อมเก็บเกี่ยวสิ่งที่เหล่ากัลยาณมิตร มาเสริมต่อด้วยใจ จนอิ่มเลยครับ
จะด้วยกระบวนการ หรือเทคนิควิธีใดก็ตาม ก็ขอให้ช่วยๆกันดูให้ เป้าหมายแท้จริง ตามตัวหนังสือ เข้าไปอยู่ในมโนสำนึกของผู้ร่วมกระบวนการให้ได้ก็แล้วกันครับ ในวงการการศึกษานี่เผลอเมื่อไรเป็นเจอทุกที .. เป้าหมายแอบแฝง มีพลังแรงกว่า เป้าหมายตามตัวหนังสือ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นแก่นสาร ยั่งยืน .. รอให้ ผอ.คนใหม่มาจับเรื่องใหม่ มาเล่นสนุกกันต่อ ตีค้อง ร้องป่าว กันให้สนั่นเมือง ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้คิดเชิงลบ หรือบั่นทอนกำลังใจนะครับ ใครๆก็รู้ว่าเป็นอย่างที่ว่าอยู่ไม่น้อย .. คำว่า "สร้างผลงาน" นี่ผมฟังด้วยความเจ็บปวดเสมอเลย เจ็บแทนสังคมครับ .. แต่ผมว่ากรณีของน้อง จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร เดินดีๆน่าจะไม่ต้อง เจ็บ ครับ เพราะงานนี้น่าจะไม่ไปเข้าสูตร เป้าหมายเลือนลาง - โครงสร้างสับสน - ผู้คนเบื่อหน่าย - สุดท้ายเลิกรา .. ใช่มั้ยครับ.
เรียนอาจารย์ Handy
ผมรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากครับสำหรับข้อคิดเห็นที่ตรงๆให้ความเห็นที่ชกตรงๆ
ในวงการศึกษา ผมยังด้อยและอ่อนประสบการณ์มากครับ แต่ผมเองก็ยังหวังให้เกิดการพัฒนาในจุดเล็กๆเพราะเราสิ้นหวังในระบบใหญ่ ตามที่เราทราบกัน
หากจุดเล็กๆที่ผมมีโอกาสดี เข้าไปร่วม เกิดสิ่งดีงามถือว่าเป็นความภูมิใจที่สูงสุด
ผมควรต้องระวังตามที่อาจารย์ได้ชี้แนะมา...เป็นประโยชน์และเต็มไปด้วยความปรารถนาดี
ขอขอบพระคุณอาจารย์ครับ
เรียนท่าน ศน.ลำดวน ครับ
ผมเห็นความตั้งใจของครู ประกอบกับอยากเรียนรู้ด้วยครับ หากสิ่งไหนที่ดำเนินการแล้ว เกิดผลลัพธ์ที่ดีกับเด็กนักเรียน ครู และชุมชน และองค์กรมีความพร้อม คิดว่าเดินหน้าได้เลย
ประสบการณ์และข้อแลกเปลี่ยนที่ได้จากบันทึกนี้มีคุณค่ามาก และยังบอกถึงพันธมิตรมากมายที่คอยชี้แนะ พร้อมกำลังใจ
หากกระบวนการขับเคลื่อนไปอย่างไร จะนำมาแลกเปลี่ยนใน Blog ของผมครับ
ขอบคุณ ท่าน ศน.ลำดวน มากครับ
............................................
อาจารย์ ดร.ขจิต
เป็นอีกสาขาหนึ่งครับ ที่น่าสนใจ เพราะใน Blog ก็มีโอกาสเห็น ชาวบูรณศาสตร์เข้มแข็งทางวิชาการมาก...น่าสนใจมากครับ
ต้องขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ ที่ให้ความอนุเคราะห์ข่าวสาร ผมคงต้องปรึกษาอาจารย์อีกหลายครั้งครับ