มหาวิทยาลัยนอกระบบ : คิดกันอย่างไร อ.พิชัย สุขวุ่น การถกเถียงเรื่องมหาวิทยาลัยนอกระบบเป็นปัญหาสำหรับสังคมไทยมานาน แต่คำถามสำคัญระหว่างการอยู่ในระบบกับนอกระบบ มหาวิทยาลัยได้ทำให้มนุษย์มีความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ ข้อถกเถียงต่อมา คือปัญหาความรับผิดชอบของรัฐต่อประชาชน ทั้งในระบบการศึกษาและระบบอื่น ๆ ผมมีข้อเสนอเชิงวิเคราะห์อยู่ 5 ประการ เพื่อให้ท่านผู้อ่านร่วมกันพิจารณา ดังนี้ 1. เมื่อพูดถึงการออกนอกระบบ จากระบบราชการ ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องคิดถึง ข้อเสนอแนะแห่งการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เมื่อปี 2502 ธนาคารโลกเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรถอนตัวจากรัฐวิสาหกิจที่อยู่กว่า 100 แห่ง และทำหน้าที่แต่เพียงผู้กำกับ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการให้ความเห็นว่ารัฐควรถอยห่างจากการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย และปล่อยให้มีสภาพคล้ายกับบริษัทเอกชน ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพของการแข่งขันด้านคุณภาพ สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการนิยามความหมายของคุณภาพ ซึ่งในทัศนะของเอกชนกับรัฐบาล นั้นแตกต่างกัน และแม้ในทัศนะของมนุษย์ทั่วไปก็นิยามความหมายความหมายของคำว่า “คุณภาพ” แตกต่างกัน คำถามสำคัญจึงมีอยู่ว่า “คุณภาพของมหาวิทยาลัย” เราจะนิยามกันอย่างไร หรืออธิบายตาม สมศ. ประเมิน 2. ไหน ๆ ก็กล่าวถึงคุณภาพของมหาวิทยาลัย แล้ว ผมขอนิยามให้ชัดเจนลงไป เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ต่อไป คุณภาพของมหาวิทยาลัย ควรพิจารณาที่การให้ความรู้อย่างถูกต้อง ความรู้ที่ถูกต้องย่อมไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา สภาพสังคมที่ขัดแย้งสูงแสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัย ไม่ได้ให้บริการความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคม แม้แต่เรื่องของการออกนอกระบบ ก็เป็นปรากฏการหนึ่งที่มหาวิทยาลัยให้ความรู้ที่ไม่ถูกต้องแก่ผู้นำประเทศ คนระดับผู้นำจึงใช้ความรู้ในทางที่ไม่รู้ว่าผิด แล้วก็ใช้จนสังคมคิดว่าเป็นความรู้ที่ถูก แล้วเราก็แก้ปัญหาไม่ได้เพราะความรู้ที่ถูกไม่มี หรือเรียกว่า อวิชชา มันมีมากกว่า “วิชา” ก็ได้ ความรู้ที่ถูกต้องย่อมนำสังคมไปสู่สันติภาพเท่านั้น ความรู้ชนิดที่ต้องแข่งขันย่อมนำไปสู่การเอาเปรียบและตอบโต้กันอย่างรุนแรง ดังนั้น คุณภาพของมหาวิทยาลัย คือสันติภาพในระดับบุคคลและสังคม ผลลัพธ์ของการจัดการการศึกษาในขั้นต้น ก็คือ ศีลธรรมของประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเมตาฟิสิกส์ * ซึ่งยากนักที่มนุษย์จะเข้าใจได้ ส่วนคนอื่นจะนิยามการศึกษาที่มีคุภาพว่าอย่างไรก็สามารถทำได้ตามทัศนะส่วนตัวของแต่ละคน แต่ตราบใดที่เรายังไม่ตกผลึกว่าคุณภาพการศึกษาคืออะไร ก็ยังไม่ควรคิดออกนอกระบบเพราะเรายังไม่มีจุดหมายแล้วจะออกเดินทางได้อย่างไร เมื่อผมนิยามไปแล้วว่าคุณภาพการศึกษาคือสันติภาพของสังคมและปัจเจกชน เรามาพิจารณาข้อถกเถียงเกี่ยวกับการออกนอกระบบกันต่อไป 3. การให้เหตุผลว่าการออกนอกระบบทำให้เกิดการคล่องตัวในการบริหาร การใช้อำนาจไม่คล่องตัวในการบริหาร ก็ยังมีข้อถกเถียงต่อว่าความคล่องตัวในการบริหารแบบเดิมที่ดำเนินการผ่านสภามหาวิทยาลัยนั้นมีการติดขัดประการใด ซึ่งแท้จริงแล้วสภามีอำนาจในการออกระเบียบข้อบังคับมากมาย โดยรัฐมนตรีไม่มีโอกาสแทรกแซงหรือคัดค้านตราบเท่าที่อำนาจใน พรบ. มหาวิทยาลัยได้เขียนไว้ การให้เหตุผลว่าไม่คล่องตัวในการบริหาร ได้แสดงว่า กฎหมายใน พรบ. มหาวิทยาลัยไม่ให้อิสระเพียงพอในอำนาจบริหาร จึงต้องเสนอ พรบ. ฉบับออกนอกระบบในความเห็นผม ระหว่างเนื้อหาทางวิชาการกับเนื้อหาอำนาจบริหารใน พรบ.มหาวิทยาลัย มีการถ่วงดุลกันเพียงพอที่จะพัฒนาการศึกษาได้ แต่ที่ต้องการอำนาจเพิ่มนั้น ไม่ใช่เนื้อหาทางวิชาการแต่เน้นที่ความคล่องตัวของอำนาจบริหาร แสดงว่าไม่มีปัญหาทางวิชาการแต่มีปัญหาว่าอำนาจบริหารไม่คล่องตัว กรณีหากเราเชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุดอำนาจที่ใช้ใน พรบ. มหาวิทยาลัย ก็ไม่สิ้นสุดเช่นกัน แต่ที่สำคัญควรตระหนักว่ามหาวิทยาลัยมีหน้าที่ทางวิชาการมากกว่าหน้าที่อื่น ๆ ความเป็นวิชาการนั้น บางทีไม่จำเป็นต้องมีมหาวิทยาลัยหรือมีรัฐหรือแม้ กระทั้งไม่จำเป็นต้องมีอำนาจบริหารก็มีศักยภาพทางวิชาการได้ ส่วนเสรีภาพทางวิชาการไม่ต้องพูดถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิทางวิชาการไว้แล้ว และอยู่เหนือ พรบ.มหาวิทยาลัยด้วย การกล่าวถึงเสรีภาพทางวิชาการที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ดูจะไม่มีเหตุผลที่จะกล่าวอ้างเพื่อต้องการออกนอกระบบ 4. เรื่องงบประมาณ งบประมาณนั้นเกี่ยวพันกับหลายเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ประเทศไทยเรานอกจากมีงบประมาณจำกัดแล้ว งบประมาณแผ่นดินมักถูกโยกย้ายไปสร้างความชอบธรรมในระบบการเมือง เราจึงมีปัญหาว่านอกจากเงินไม่พอแล้วยังใช้เงินที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ระบบงบประมาณของประเทศขึ้นอยู่กับสภาผู้แทน ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสนอ เพราะสามารถแก้ไขกฎหมายและเปลี่ยนแปลง การจัดสรรงบประมาณได้ตามอำนาจที่มีอยู่ ดังนั้นการกล่าวว่างบประมาณของมหาวิทยาลัยนอกระบบจะไม่น้อยกว่าเดิม เราเพียงแต่รับฟังได้แต่ไม่สามารถเชื่อได้ และถ้าหากพิจารณาดูเจตนาในข้อแรกที่ต้องการให้รัฐเป็นผู้กำกับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ก็เท่ากับว่ารัฐจะเกี่ยวข้องน้อยลง ทั้งการบริหารจัดการและงบประมาณโดยปล่อยให้แข่งขันกันเองเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด 5. การจัดแบ่งออกเป็นสองด้านระหว่างรัฐและไม่ใช่รัฐ เป็นการส่งสัญญาณ เรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลหรือปัจเจกชน โดยทำให้รัฐเล็กลง และเอกชนใหญ่ขึ้นการกระทำเช่นนี้ ผิดหลักการกำเนิดรัฐ ในยุคแรก ที่เคยเชื่อว่า รัฐต้องดูแลประชาชน ให้มีศีลธรรมและความยุติธรรมอย่างทั่วถึง แต่รัฐกำลังแปรสภาพเป็นรัฐตลาด ใครมีประสิทธิภาพสูงก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ใครอ่อนแอต้องตกเป็นเบี้ยล่าง ดังนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบทุนนิยมเสรี การพยายามส่งให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบเท่ากับทำให้รัฐไม่มีความหมายที่จะปกป้องประชาชนของรัฐอีกต่อไป ฉะนั้นในฐานะประชาชนก็ต้องทบทวนความสัมพันธ์กับรัฐเสียใหม่ ว่าเราจะช่วยปฏิรูปรัฐ ให้กลับมาดูแลประชาชนได้อย่างไร ผมก็มีข้อเสนอเชิงวิจารณ์เพียงเท่านี้ ส่วนใครจะเป็นอย่างไร ก็ตามอัธยาศัยครับ
________________________________________________________________________________________________________* สิ่งที่สูงกว่าความรู้ในระดับฟิสิกส์