เมื่อวานเก็บเอกสารได้ชิ้นหนึ่ง อยู่บนโต๊ะเอกสารที่ห้องธุรการ เป็นเอกสารแผนพับของ บริษัท TOT ซึ่งประชาสัมพันธ์การจัดงาน เปิดโสตสัมผัส สู่โลกแห่งการเรียนรู้ ที่ทางบริษัทได้จัดขึ้น เนื้อหาในเอกสารได้กล่าวถึง การทำองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดให้การสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 5 ประการ คือ
1. เริ่มที่ใจ
2. ใฝ่ตนพัฒนา
3.ร่วมสานวิสัยทัศน์
4.สร้างสรรค์เป็นทีม
5. คิดเป็นระบบ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นความรู้ใหม่ ที่ทาง TOT เชื่อว่าหากทำได้ทั้ง 5 ประการแล้วจะสามารถนำพาองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และรองรับกับการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เท่าที่ได้ทราบมา การทำองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้มีมากมาย หลายแนวคิด ทั้งทฤษฏีจากต่างประเทศ และในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดการทำองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของ ปีเตอร์ แชงเก ได้กำหนดไว้ว่าวิธีที่จะทำให้องค์การแห่งการเรียนรุ้มี 5 วิธีเช่นเดียวกัน ได้แก่
1) คิดในระบบรวม (systems thinking )
หลักของแนวคิดนี้อยู่ที่การมองระบบ
เข้าใจระบบถึงความสัมพันธ์ที่อย่างหนึ่งมีต่ออีกอย่างหนึ่ง
และสามารถมองเห็นถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ คือเห็นการ
"ป้อนกลับ" (Feedback) เมื่อมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับระบบ
มากกว่าที่จะเห็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
2) ความเชี่ยวชาญของบุคคล (personal mastery)
คือมีบุคคลากรที่เชี่ยวชาญในการงาน พัฒนาให้เกิดวิสัยทัศน์
สามารถเพ่งกำลังความคิดกำลังงานเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จได้จริง
3) มโนคติ (mental models)
คือแนวคิด วิธีการมองเห็นความเป็นไปของโลก
ความเข้าใจในโลกและสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวที่ฝังลึกเข้าในจิตใจของคนเรา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
หรือสิ่งยั่วยุต่างๆ
4) แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ (shared vision)คือการที่คนในกลุ่ม
หรือในองค์กรมีการแลกเปลี่ยน "ภาพแห่งอนาคต" ต่อกัน
คือการพยายามที่จะทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ร่วมกัน
โดยเปิดใจยอมรับฟังและพยายามทำความเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง
และแลกเปลี่ยนความเห็นกัน มากกว่าที่จะยินยอมทำตามอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งมาทำตามเราเสียเลยทีเดียว
5) การเรียนรู้เป็นกลุ่ม (team learning) คือการพยายามเรียนรู้ด้วยกัน
คือเราก็เรียนรู้ เพื่อนร่วมงานก็เรียนรู้
เรียนรู้ด้วยการพยายามทำความเข้าใจ ทำให้เกิดการ "ร่วมด้วยช่วยกันคิด"
ไม่ใช่เอาแต่ยอมรับในสิ่งที่มีที่เป็น หรือพยายามป้องกันตัว
(Defensive) ในการทำงานซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดลึกๆ
อยู่ว่ากลุ่มองค์กรนั้นจะทำงานในรูปแบบไหน
ซึ่งเป็นการบั่นทอนการเรียนรู้ร่วมกัน
จากตัวอย่างในการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ทั้ง 2 ตัวอย่างนี้
ก็คงจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารองค์การและสมาชิกในองค์การที่จะนำเอา
ความรู้จากเอกสาร (explicit Knowledge)
ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์การของตน และที่สำคัญที่สุด
ก็คงจะต้องสร้างความสมดุลระหว่าง explicit Knowledge กับ Tacit
Knowledge โดยสร้างการมีส่วนร่วม(partitcipation)
กับผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์การให้มากที่สุด
เพื่อความมีประสิทธิผลขององค์การต่อไป
สุเมธ ปานะถึก
ผู้อำนวยการโรงเรียนกุดสะเทียนวิทยาคาร
นักศึกษาปริญญาเอกบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ไม่มีความเห็น