ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทำงานกับครูในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับประถม มัธยม หรือแม้กระทั่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่กระจายตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ความคาดหวังของผมในการทำงานกับเครือข่ายครูก็คือ
ผมหวังว่า ครูน่าจะเป็นพลังที่สำคัญของชุมชนในการจัดการความรู้ เพราะเป็นผู้มีการศึกษาสูงกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเทียบกับ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งพระภิกษุในพื้นที่ชุมชน
ครูส่วนใหญ่ที่ผมทราบเข้าใจแต่เดิม เป็นที่เคารพนับถือของคนในชุมชน พูดอะไร ก็น่าจะทำให้คนเชื่อได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองของนักเรียนที่จะเป็นฐานงานจัดการความรู้ในชุมชนได้เป็นอย่างดี
เรื่องนี้ ผมได้ดำเนินการตามรอยของเครือข่ายปราชญ์ที่อาศัยครูเป็นฐานงาน ทั้งเป็นหัวหน้าฐานจัดการความรู้ หรือแปลงต้นแบบ หรือแม้กระทั่งผู้ช่วยปราชญ์
โดยรวมก็ดูดี แต่เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดก็พบว่า มีครูเพียงจำนวนไม่มากที่มีความพร้อมในเชิงเวลาและทรัพยากรที่จะทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ครูส่วนใหญ่ยังติดกับอยู่กับระบบราชการ ที่ไม่อนุญาตให้ใครออกมาทำงานข้างนอกได้ง่ายๆ
ครูที่ทำงานกับชุมชนมักจะอยู่ในประเภท “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ที่กล้าท้าอำนาจของผู้บริหาร หรืออย่างน้อยก็เป็นเพื่อนผู้บริหาร หรือเป็นผู้บริหารเอง ที่ผู้บริหารสูงกว่าไม่กล้าทำอะไรรุนแรง ทำให้กลุ่มหมูไม่กลัวน้ำร้อนนี้มาทำงานกับชุมชนได้ดี
แต่ครูส่วนใหญ่ กลับมีขีดจำกัด มีหนี้สิน มีครอบครัวที่ไม่เข้มแข็ง มีระบบคิดที่ติดยึดอยู่กับกรอบราชการ และไม่มีความพร้อมในทางหลักการทำงานแบบมีส่วนร่วม
บางคนกลับมีจริตคิดว่าตนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงกว่า ไม่ควรที่จะมาคลุกคลีกับชาวบ้านทั่วไป หรืออีกนัยหนึ่ง คิดว่า ตนเองมีศักดิ์ศรีสูงกว่าที่จะมาทำงานกับชาวบ้าน หรือยอมรับไม่ได้ที่ชาวบ้านจะมาตีตัวเสมอตน
นอกจากนี้ การทำงานกับชาวบ้านนั้น ครูจะต้องมีความคิดความอ่านที่จะพาชาวบ้านเป็นกลุ่มเป็นกระบวนไปได้ด้วยดี ไม่ใช่ทำงานแบบไม่มีทิศทาง จนเป็นที่ครหาของชาวบ้าน
ประเด็นนี้ก็ทำให้ครูส่วนใหญ่ขาดความมั่นใจในการทำงานกับชุมชน จนทำให้ต้องห่างหายหน้าไป หรือโอนย้าย เปลี่ยนโรงเรียน เพื่อแก้ปัญหาส่วนตัวที่มีอยู่กับชุมชนหรือผู้บริหาร
ดังนั้น ศักยภาพของครูที่จะทำงานการจัดการความรู้ให้กับชุมชนนั้น จึงยังไม่ค่อยสูงนัก อาจจะมีครูบางคนในกลุ่มนัก KM ของเราที่มีความพร้อมและทำงานอยู่ในปัจจุบัน
แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตเราน่าจะมีครูพันธุ์ใหม่หัวใจเสริมใยเหล็ก ที่มีความพร้อมมากกว่านี้ ทั้งในเชิงการทำงานแบบมีส่วนร่วม งานวิชาการ และงานทางสังคม
ที่พร้อมจะเป็นวิศวกรสังคมให้กับประเทศและชุมชนชนบท ที่กำลังรอความหวังอยู่…
ครูก็มีหน้าที่ครู
คันคูก็มีหน้าที่ของคันคู
ทั้งคู่กำลังได้รับความสนใจ
ว่าจะพัฒนาไปในรูปแบบใด
แต่คันคูดูจะง่ายกว่า เพราะขยายให้กว้างแล้วปลูกนั่นปลูกนี่ลงไป สร้างชีวิตใหม่ให้กับไร่นา
แต่ครูคน สาละวนอยู่กับการหาคำตอบยืนยัน ว่าฉันเป็นครูจริงนะ มาดูใบประกอบวิชาชีพครูสิ อีกส่วนหนึ่งไปบ้าอยู่กับการทำผลงานเป็นผู้เชียวชาญ ทั้งๆที่ตนเองทำแต่เรื่องระราน ควรจะตั้งตำแหน่งไหม่ ระรานซี 9 ระรานซี 10 หรือ ชะลอหลังยาว 9 โมเม9 อะไรทำนองนั้น ทำให้นักการศึกษาที่ดีๆแปดเปื้อนไปด้วย เพราะยังไม่มีวิธีแยกว่าใครตัวจริงใครตัวปลอม
ในอดีตได้ร่วมทำงานพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับ ครู อย่างมีความสุข แต่ปัจจุบันครูทิ้งท้องถิ่น สนใจแต่เขตการศึกษา หรือ ส่วนกลาง เท่านั้น ประเทศชาติเสียโอกาสสำคัญอย่างยิ่งครับ
ผมเห็นด้วยกับครูบาครับ
แต่ขอเสนอตำแหน่งที่สำคัญคือ
กปม(กระดาษเปื้อนหมึก) ซี ๘-๑๑
ที่ใช้ครอบคลุมทุกวิทยะฐานะที่ใช้กระดาษเปื้อนหมึกเป็นตัวชี้วัด
ที่ได้จาก
กปม ตรี โท และ เอก เป็นไปเบิกทางในการทำงาน จากการสอบวัดปริมาณหมึกที่เปื้อนบนกระดาษที่วัดผล
แต่ก็ยังต้องแบ่งตำแหน่งเป็น
การทำงานเฉพาะด้านเช่น กันท่า ก่อกวน โมเม ระดับ ๙-๑๑ ได้อีกครับ
ผมขอเพิ่มเติม อีก ๒ ประเด็นครับ
ขอบคุณครับ คุณไชยยงค์
เรื่องประเทศชาติเสียโอกาส มีในทุกเรื่องแหล่ะครับ ตอนนี้ที่เขาไม่ทำก็เสียโอกาสในการพัฒนาเหมือนกับหายใจทิ้งนั้นแหล่ะครับ แค่นั้นยังไม่พอ ยังสร้างความเสียหายให้กับเด็กรุ่นใหม่ทางด้านการศึกษาได้อีกอย่างประมาณการมิได้ครับ
ผมกำลังหาแนวร่วมที่จะปลุกระดมเรื่องนี้ครับ ไม่ทราบว่ามีข้อเสนออะไรที่จะสร้างแนวร่วมได้อย่างรวดเร็วครับ
อาจารย์ศิริพงษ์ครับ
น่าสนใจครับ อาจารย์ลองเสนอโมเดลมาดูซิครับว่าที่ไหน work บ้าง ครับ ภายใต้เงื่อนไขอะไร ความยั่งยืนเป็นอย่างไร
ความหลากหลายคือความสมบูรณ์ที่แท้จริง
แต่เราต้องใช้ให้ถูกงาน
ไม้ตรงไว้ทำเสา
ไม้งอไว้ทำด้ามไถ
เป็นต้น