สิ่งที่นักเรียนต้องเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ
What a student needs to know in English pronunciation.
ผลการวิจัยด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ (EFL) บ่งชี้ว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของนักเรียนคือ...การออกเสียง
ด้วยเหตุนี้...ทำให้นักเรียนจำนวนมากไม่ประสบความสำเร็จในการสื่อสารด้วยภาษาพูด
ทั้งนี้เพราะ...การออกเสียง..คือ..วิญญาณของการสนทนา (Pronunciation is the soul of Conversation.)
แต่หรับในตอนนี้ เป็นบันทึก เกี่ยวกับการย่อคำ ซึ่งมีรายลเอียด ดังนี้
6. การย่อคำ (Contraction) และการรวบคำ (Reduction) ภาษาเขียน กับ ภาษาพูดนั้นต่างกันมาก
ในภาษาพูดตามธรรมชาติ คนเรามักจะพูดเร็ว ดังนั้นจึงมีการย่อคำ หรือ รวบคำให้สั้นลง บางที่ไม่ออกเสียงนั้นเลย คำที่ถูกย่น หรือย่อลงไปนั้น เป็น Structure Word
เช่น I am = I'm
He had = He'd เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Structure Word ก็มีโอกาสจะเป็นได้ทั้ง Strong Form และ weak Form ถ้าผู้พูดมีความประสงค์ เช่นนั้น โดยมีกฏอยู่ว่า
1. สระในคำไวยากรณ์ จะเป็น Strong Form เมื่อ
- อยู่ท้ายประโยค เช่น
Yes , I do.
I can't stop smoking now, but I've tried to.
- ใช้เพื่อ การเน้นย้ำ เช่น
A : I don't want this one.
B : Which one do you want ?
- ใช้เพื่อชี้ความแตกต่างให้ชัดเจน เช่น
My name 's Pawina. What ' s your name?
2. เมื่อสระ Weak Form ขึ้นต้นด้วย " h " เสียง " h " ข้างหน้ามักจะหายไป เช่น Give (h)er the money.
3. ในภาษาพูดตามธรรมชาติ กริยาช่วย (Auxiliary Verb) สามารถลดเสียงลงได้หากไม่ต้องการเน้น เช่น
You're = You're , She would = She'd
4. พยางค์ที่ถูกลดเสียงลงเป็น weak form บางครั้งจะไม่ออกเสียงเลย เช่น diff(e)rent , veg(e)table
5. เสียงพยัญชนะ อาจเปลี่ยนแปลง หรือ หายไปได้ในกลุ่มอักษรที่ซ้อนกันหลายตัว เช่น
- เสียง " t" กับ " d " มักจะหายไป เมื่ออยู่ตรงกลางระหว่างพยัญชนะอื่น เช่น ac(t)s soun(d)s
- บางครั้งผู้พูดจะลดเสียงลง หรือแทนคำด้วยเสียงหยุด (Glottal Stop) ข้างหน้า " p " หรือ " b " เช่น That(t) book, goo(d) point
- เสียง " n " มักมีเสียงคล้าย " m เมื่ออยู่ข้างหน้า " p " และ " b " เช่น He can pay. เป็น He cam pay.
วันนี้คงจะเท่านี้ก่อนนะคะ มากกว่านี้ อาจจะสับสน
พบกันใหม่ บันทึกต่อไป...การเชื่อมคำ