คำตอบของ น.เมืองสรวง ต่อคำชักชวนของคุณออต สำราญ เย็นเฉื่อย และมุมมองของคนจบ ป.6 ที่ใช้จิตวิญญาณและความคิดที่แบ่งปันเพื่อสังคม....


หยิบความเห็นอีกแง่มุมมามอบให้เป็นแง่คิด....

amnarts.jpg


คุณ น.เมืองสรวง เขียนบันทึก ชื่อ แนวคิดเครือข่ายเรียนรู้เพื่อชุมชน (มุมมองของ น.เมืองสรวง)

มีคุณออต คุณพันดา เลิศปัญญา เข้ามาให้ความเห็น และคุณ น.เมืองสรวงก็ตอบไปแล้ว

เนื่องจาก คุณ น.เมืองสรวงก็มีคนที่ติดตามเขาอยู่พอสมควร เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีข้อมูลที่น่าสนใจ บันทึกนี้ของเขา ความเห็นและคำตอบของเขา ได้ถูกหยิบมามองถึงก้นบึ้งถึงหัวใจของเขา ณ เวลานี้

ทำไม น.เมืองสรวง ถึงตอบความเห็นแบบนั้น คำตอบของ น.เมืองสรวงต่อความเห็นของคุณออต มีนัยสำคัญหรือไม่



ออต เมื่อ พ. 06 ธ.ค. 2549 @ 21:19 (109875)


น.เมืองสรวง


    * ตอนนี้ทำเอกสารเชิงหลักการเรื่องศึกษาจิตรกรรมอีสานที่เมืองกาฬสินธุ์เอาไว้

    * ออตว่าเราน่าจะมีแนวร่วมวิจัยร่วมกับชาวบ้านที่นั้น อนาคตคงได้ร่วมมือกันนะครับ

    * จริง ๆ อยากขอทุนวิจัยนี้กับคนในท้องถิ่นเมืองกาฬสินธุ์มากกว่าคนนอกพื้นที่ แต่กำลังศึกษาบุคคลที่สนใจงานวัฒนธรรมในพื้นที่อยู่

    * คนในชุมชนคือเป้าหมายของเรา

    * เท่าที่ทราบเบื้องต้น จิตรกรรมฝาผนังที่กาฬสินธุ์มี 2 แห่ง หากศึกษาจริงน่าจะมีมากกว่านั้น

    * ขอบคุณครับ ตามอ่านงานอยู่นะครับ


น.เมืองสรวง เมื่อ พฤ. 07 ธ.ค. 2549 @ 12:51 (110247)

เป้า หมาย "งาน" อยู่ที่ชุมชนครับ คุณ ออต ยินดีครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถทำเพื่อบ้านเกิดได้ ขอเพียงคุณมีใจรักที่จะทำ......ลองศึกษาพื้นที่ไหนก็ได้แล้วเขียนโครงร่าง เสนอดูก่อนนะครับเผื่อจะได้ทุนครับ....


...จากความเห็นของ น.เมืองสรวง กับความคิดเห็นของคนที่ได้อ่าน แต่ไม่ได้มาร่วมแสดงความเห็นใน gotoknow ด้วย เค้าจะมามองถึงก้นบึ้งของหัวใจ

คุณลุงวิชัย เกษตรกรที่ดูธรรมดาๆคนหนึ่ง อยู่กิ่ง อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ อยู่ใกล้ๆบ้านเกิดของ น.เมืองสรวงนั่นเอง... นั่งอ่านบันทึกชิ้นนี้ จากการ print ไปให้ท่านอ่าน  ท่านมอง น.เมืองสรวงว่า..

”เศรษฐกิจ รายได้ คือตัวตั้งในปัจจุบัน  ซึ่งเหมือนกับบุคคลทั่วๆไปในสังคมปัจจุบัน ย่อมจะนึกถึงปากท้องเป็นอันดับแรก ทำให้จิตสำนึกสาธารณะ อุดมการณ์ เป็นเรื่องรองลงมา เมื่อจะลงทุนทำอะไร ย่อมจะต้องคิดถึงความคุ้มทุน..เมื่ออยู่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง จึงต้องหารายได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ”

”..จะต่างกับคนที่ยึดหลักความพอเพียง สามารถยึดอุดมการณ์เป็นตัวตั้ง เงินเป็นเรื่องรอง เมื่อเลือกที่จะอยู่ในวงจรชีวิตแบบพอเพียง การทำงานในส่วนนี้ ได้แบ่งปันน้ำใจอยู่เรื่อยๆ จิตสำนึกสาธารณะ อุดมการณ์ ได้ถูกนำมาใช้จริงๆ

kprocover.jpg

นายบอนหยิบพ็อตเกตบุคส์ “ก่อร่าง สร้างฝัน ที่หนองสรวง” ของ น.เมืองสรวง ให้ลุงวิชัยอ่านดูคร่าวๆก่อน ผ่านไปพักใหญ่ๆ ลุงวิชัย มองคุณ น.เมืองสรวงกันต่อ...

”ผู้ที่มีจิตวิญญาณเพื่อชุมชน จิตสำนึกสาธารณะ มีอุดมการณ์ในอดีต เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันที่เคยเห็น มีหลายกลุ่ม

- เดิมทำงานด้วยจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง เมื่อไปทำงาน ย่อมจะนึกถึงเงินเป็นตัวตั้ง แต่ในใจยังคงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนั้นไว้ด้วยความหนักแน่น มั่นคง แต่ถ้าชวนให้กลับมาทำงานสาธารณะ จะไม่พร้อม เพราะลึกๆแล้ว เงินยังเป็นตัวตั้งอยู่ อยากจะมาทำงานเพื่อชุมชน แต่ยังไม่พร้อม เมื่อเวลาผ่านไป จะต้องใช้ความเด็ดเดี่ยว จิตใจที่เข้มแข็งมากๆ สามารถพึ่งตัวเองได้ ซึ่งบุคคลเช่นนี้ มีน้อยเหลือเกิน เพราะไม่สามารถกลับมาทำงานได้เลย ทั้งๆที่มีความฝันในใจ

- ทำงานด้วยเงินเป็นตัวตั้ง แล้วมาค้นพบจิตวิญญาณ คนกลุ่มนี้ จิตใจเข้มแข็งกว่า หนักแน่นกว่า สามารถปรับตัวได้ดี หาความรู้ ขยัน ติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ ทำงานเพื่อชุมชนที่เป็นรูปธรรมได้ดีกว่าคนกลุ่มแรก

- เดิมมีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง ปัจจุบันมีเงินเป็นตัวตั้ง เป็นคนที่มีจิตใจไม่หนักแน่น ต้องอาศัยแรงผลักดันสนับสนุน จากคนอื่นๆ  จึงจะทำให้อุดมการณ์ที่เก็บไว้ถูกนำออกมาใช้

ลุงวิชัยมองว่า น.เมืองสรวงน่าจะอยู่ในกลุ่มสุดท้าย แต่ไม่ว่ากลุ่มไหน ถ้าอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จะเกิดแรงผลักดันเพื่อชุมชนมากกว่า

ลุงวิชัย มองหนังสือก่อร่าง สร้างฝันที่หนองสรวง ถ้า น.เมืองสรวงไม่มีแรงผลักดันสนับสนุน น.เมืองสรวงคงไม่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมออกมาอย่างที่เห็น เรื่องหนังสือเห็นนักพัฒนาหลายคนอยากทำ แต่ไม่เห็นทำ

เหมือนนักพัฒนาหลายคน มีความคิดดีๆในสมองมากมาย แต่ไม่เห็นทำเป็นรูปธรรมออกมาได้ ความจริงแล้ว แค่มีความคิดไม่กี่อย่าง และทำออกมาได้จริงก็มีคุณค่าแล้ว

แต่ละปีผ่านไป ควรจะมีผลงานใหม่ อย่างน้อย 1 อย่าง ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ลุงวิชัยมอง น.เมืองสรวงแล้ว มีทุนทางสังคมพอสมควร แล้วใช้คุ้มค่าหรือยัง

ลุงวิชัย มีทุนทางสังคมไม่มากนัก แต่ก็นำมาช่วยขับเคลื่อนได้

จากความเห็นของ น.เมืองสรวง กับคำชักชวนของคุณออต

“เป้า หมาย "งาน" อยู่ที่ชุมชนครับ คุณ ออต ยินดีครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถทำเพื่อบ้านเกิดได้ ขอเพียงคุณมีใจรักที่จะทำ......ลองศึกษาพื้นที่ไหนก็ได้แล้วเขียนโครงร่าง เสนอดูก่อนนะครับเผื่อจะได้ทุนครับ....”

คุณลุงวิชัยให้ความเห็นทันที
..”ถ้าเป็นลุง จะตอบรับทันที จะโทรติดต่อ นัดพบกัน คุยกันว่า จะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร เพราะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ ความกระตือรือร้นของคนมีจำกัด ถ้าต่างฝ่ายต่างตอบสนอง สิ่งนี้ย่อมขยาย เติบโต การได้พบปะกัน ถือเป็นกำไรชีวิต ได้เรียนรู้แนวคิด ประสบการณ์ใหม่ๆ เหมือนอ่านหนังสือเล่มใหญ่ที่หาซื้อไม่ได้”

”มองจากความตั้งใจที่ผ่านมาของ น.เมืองสรวง ถ้าเขาเปลี่ยนแนวคิดใหม่น่าจะดีขึ้น หากคิดแบบเดิม จะเหนื่อย หนัก อายุมากขึ้นทุกวัน ยิ่งนาน ยิ่งท้อแท้ ล้า การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ รู้จักคนใหม่ๆ จะกระตือรือร้น การทำแต่งานเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เกิดการเรียนรู้ใหม่ เช่น ที่ น.เมืองสรวงทำ   ทอดผ้าป่ากองทุน, มอบจักรยานเพื่อน้อง เป็นเพียงโครงการที่ทำต่อเนื่อง แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำสิ่งใหม่ๆ จะได้ปรับตัว ปรับใจให้ทันโลกปัจจุบัน เรียนรู้ได้เร็วกว่าอ่านตำราเสียอีก”

“คำตอบของ น.เมืองสรวง  พยายามย้ำจุดยืนของตัวเองว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานเพื่อบ้านเกิดได้ ขอเพียงมีใจรักที่จะทำ  ถ้าเป็นลุง จะรีบโทรหาคุณออตทำความรู้จัก คุยกันให้ได้รายละเอียดทันที เพราะถ้ามีใจรัก อยากทำ ไม่ต้องรอเวลา มีคนมาชวนก็รีบคว้าโอกาสไว้ก่อน เพราะการทำงานจริงๆ  จะต้องร่วมมือกัน เตรียมข้อมูล กว่าจะได้ก็อีกนาน ซึ่งคุณออตก็ให้ข้อมูลไว้แล้วว่า ทำเอกสารเชิงหลักการเรื่องศึกษาจิตรกรรมอีสานที่เมืองกาฬสินธุ์เอาไว้แล้ว อยากจะหาแนวร่วม และเขียนทาบทามมา  ถ้าเพื่อนของนายบอนเขามีใจรัก และทำจริงๆ เขาจะต้องตอบรับ ติดต่อโดยทันที แต่แบบนี้ คือ ไม่สนใจที่จะทำจริงๆ  ซึ่งเหมือนกับลูกหลานคนอื่นๆที่เคยพบ ก็คล้ายๆกับ น.เมืองสรวงทั้งนั้น”

เมื่อคุณลุงให้มุมมองแบบนี้ นายบอนเลยถามคำถามสำคัญว่า ถ้าคุณออตมาขอพบคุณลุงล่ะ จะว่าอย่างไร
” ถ้าเป็นปีก่อน ยินดีจะไปพบ ให้นั่งรถไปหาก็ได้ แต่ปีนี้ คงไปไม่ไหว มีงานให้ทำเยอะแยะไปหมด แต่ถ้ามีลูกหลานที่อยากจะทำจริง ก็จะแจ้งไปให้ทราบละกัน”

คุณลุงวิชัย เป็นเกษตรกรในพื้นที่ กิ่ง อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ อยู่ใกล้ๆบ้านเกิดของ น.เมืองสรวง จบแค่ชั้น ป.6 เท่านั้น แต่เป็นคนที่ชอบหาความรู้ เนื่องจากเคยถูกผู้มีความรู้เอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอๆ

วันนี้ ถือว่าบันทึกธรรมดาๆนี้ เป็นบันทึกที่มีค่าสำหรับนายบอนจริงๆครับ ที่ได้หยิบมุมมอง ความเห็นของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ถ่ายทอดถึงลูกหลาน นาม น.เมืองสรวง

ด้วยความเป็นคนที่ชอบหาความรู้ ชอบพูดคุย สนใจสิ่งใหม่ๆ ยอมรับและเต็มใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอด ไม่ว่า อีกฝ่าย จะมีอายุเท่าใด แม้จะมีอายุน้อยกว่าคุณลุงก็ตาม คุณลุงก็ยอมรับ และทดลองทำตามอยู่เสมอ ทำให้คุณลุงรู้จักหลายๆสิ่ง สะสมความรู้ต่างๆไว้ เรื่อยๆ และก็มักจะเล่าสู่คนอื่นๆอยู่เสมอ

สำหรับ gotoknow นั้น คุณลุงวิชัย ไม่มี internet เปิดอ่านหรอกครับ แต่มีหลานที่ชอบเปิดอ่าน gotoknow print บันทึกเรื่องที่น่าสนใจรวบรวมไปให้ท่านอ่านบ้าง เพราะคุณลุงชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่มีเงินซื้อหนังสือบ่อยๆ

และนี่คือ ส่วนหนึ่งจากคุณลุงที่จบแค่ ป.6 ที่ใช้จิตวิญญาณและหัวใจที่แบ่งปันเพื่อสังคม สะท้อนความคิดสู่คุณ น.เมืองสรวงครับ




หมายเลขบันทึก: 66284เขียนเมื่อ 9 ธันวาคม 2006 23:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

คุณบอน

  • เมื่ออ่านจบรู้สึกขอบคุณคุณบอนมาก การวิเคราะห์บันทึกนี้เป็นเหมือนการขยายการเชื้อเชิญออกไปยังคนอื่น ๆ ที่อ่านด้วยอีกแรง
  • ขอบพระคุณผ่านไปยังลุงวิชัยที่มีไฟในการช่วยเหลือเป็นแรงผลักให้ลูกหลานได้ทำงาน
  • ขอบคุณคุณน.เมืองสรวง ที่เป็นเพื่อนให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดต่อกันมาเสมอ
  • สำหรับเรื่องทุนเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่งในการทำงานนะครับ ใจนะพร้อมเสมอ
  • การทำงานกับคนในพื้นที่ย่อมมีอะไรดีดีเสมอที่คนนอก(อย่างออต)น่าจะได้รู้

 

log out ไปแล้วแต่เหลือบเห็นบันทึกนี้แวบๆ เลยต้องกลับมาก่อน

ไร้นามอ่านแล้วเห็นว่า บทวิเคราะห์ที่เขียนลงมามีคุณค่ากว่าจั่วหัว เพราะเป็นวิธีคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า นักวิเคราะห์ตลาดหุ้น และคิดว่า การระบุวุฒิการศึกษา"มุมมองของคนจบ ป 6" ทำให้เรื่องดีๆ หลักคิดวิเคราะห์ที่น่ามหัศจรรย์ในบันทึกถูกกลบมากกว่าถูกทึ่ง

ความมหัศจรรย์ที่ไร้นามรับรู้ ไม่ใช่มหัศจรรย์ว่าคนจบป 6 คิด แต่มหัศจรรย์ว่า ประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์น่าศึกษายิ่งนัก และน่าศึกษาว่ามีความจริงใจในการคิดและกล้าคิด...

ประโยคสุดท้ายที่ต้องการยกย่องแต่ใช้คำว่า "คุณลุงที่จบแค่ ป 6" จึงเป็นการมองภาพติดกรอบของผู้บันทึกอย่างน่าเสียดาย

 

ขอบคุณ "เพื่อน" บอน ที่ให้ข้อคิดเห็น...กับประเด็นต่าง ๆ ขอบคุณ คุณออต ที่กำลังจะเขียนงานวิจัย จริง ๆ แล้วในความหมายคือ หากคุณออตทำวิจัยด้านวัฒนธรรมอยู่ ผู้วิจัยคือ คุณออตเอง ทีมงานวิจัย หรือ ผู้ช่วยนักวิจัย คือ ชาวบ้าน พี่น้อง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู อาจารย์ ที่อยู่ในท้องถิ่นนั้น เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน นั่นเอง จริง ๆ แล้ว ผมทำวิจัยด้านนี้เมื่อหลายปีก่อนและมอบไว้ให้ชุมชน ให้เขาเป็นผู้คิดค้น ผสมผสานกับนักวิจัยซึ่งเป็นลูกหลาน ในการปรับใช้ในท้องถิ่นเพราะเขาคือ เจ้าของชุมชนที่แท้จริง .....

ขอบคุณคุณลุงวิชัยอย่างสุดซึ้ง....จริง ๆ แท้แน่นอนเหมือนอย่างคุณลุงว่า.....แต่เมื่อถึงเวลานั้นหลาน น.เมืองสรวงคนนี้ จะกลับไปเองครับ เพราะมันเป็น "ผืนแผ่นดิน ที่เป็นมรดกครับ "  แต่ตอนนี้ ทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบหลาย ๆ ด้าน ยิ่งสมัยนี้แล้วต้องช่วยกันครับ การทำงานทุก ๆ อย่างถ้ามีความพอเพียงด้วยแล้วยิ่งเป็นผู้ประเสริฐครับ........จุดหมายปลายทาง ผมอยากเห็นพี่น้องท้องถิ่น อยู่ดีกินดีครับ ผม น. เมืองสรวง ขอท่องยุทธจักรก่อนนะครับ เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ

ในการทำวิจัยรูปแบบนี้เรียกว่า การวิจัยแบบ PAR คือการวิจัยแบบมีส่วนร่วมครับ..... หากว่าคุณออตเข้ากับคำว่า

** เข้าใจ

**เข้าถึง

**พัฒนา

........ยินดีครับคุณออตไม่มีเบอร์โทร... ผมเบอร์ 0890917869 ยินดีครับ  ฝากขอบพระคุณคุณลุงวิชัย ด้วยครับ " ขอบคุณจริง ๆ" แลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ครับ

สวัสดีครับ คุณออต
  การวิเคราะห์นี้ จากมุมมองของคุณลุงวิชัยที่หยิบยกมาเล่าต่อครับ แม้จะสูงวัย แต่ความกระตือรือร้นหาได้ลดลงไม่ เป็นตัวอย่างที่ดีอีกท่านหนึ่ง ที่อยากแนะนำให้รู้จัก และหากมีโอกาส อยากพาคุณออตไปพบกันท่านด้วยนะครับ

เรื่องทุน และก้าวย่างอื่นๆ ขอเป็นกำลังใจร่วมด้วยอีกคนหนึ่งนะครับ ในส่วนของนายบอนอาจจะได้ช่วยเพียงแค่ หยิบยกเรื่องราวมาบันทึกตามสไตล์นะครับ

สวัสดีครับ คุณไร้นามครับ
 วิธีคิดของคนนั้น ระดับการศึกษาหาใช่ตัวชี้วัดนะครับ แต่หลายคนมักจะนิยมมองที่ระดับการศึกษา นายบอนจึงตอกย้ำว่า
"คุณลุงที่จบแค่ ป.6"  แต่คนที่เรียนสูงกว่า กลับคิดไม่ได้เหมือนคุณลุงวิชัย

นายบอนสะใจมากกว่าครับ ไม่ได้มองที่ภาพติดกรอบ เลยหยิบเอามาตอกย้ำ กับหลายท่านที่มักจะมองที่ระดับการศึกษา แต่ความคิดก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่จบปริญญาชีวิตอย่างคุณลุงวิชัยนะครับ

คำว่า แค่จบ ป.6 หากได้ฟังน้ำเสียงที่ถ่ายทอด จะรับรู้ได้ว่า นั้าหาใช่การเหยียดหยาม ตรงกันข้าม แต่เป็นน้ำเสียงที่พยายามส่งผ่านไปยังคนที่มีระดับการศึกษาที่สูงกว่า ให้รู้สึกสะกิดใจบ้าง เสียดายที่เป็นเพียงตัวอักษร ไม่มีเสียงที่สื่อความหมายที่แท้จริงครับ

คุณ น.เมืองสรวงครับ

เอาเด้อ..... คุณลุงฝากมาเด้อ .... เพิ่นอ่านประวัติเจ้าแล้วในก่อร่าง...

อ๋อ...เข้าใจความคิดของคุณ นายบอนแล้ว

แสดงว่าการเขียนว่า ป6 มีเป้าหมาย

ไร้นามก็ว่าไปตามปัญญาอันต่ำต้อยของไร้นาม ..มันอาจจะกลวงๆ โบ๋ๆ เลื่อนๆลอยๆ ..แต่อาจผิดก็ได้

เพราะเวลาฟังใครพูด ไร้นามไม่เคยไปถามว่า คุณจบ ป อะไร ...ยิ่งกับ ป ของประเทศแต่ละประเทศมาตรฐานก็ต่างกัน

ในทางกลับกัน ถ้าคนจบปริญญาตรีแต่คอยไปจับผิดดูถูกคนจบปริญญาโทว่าคิดได้แค่นั้นแค่นี้  อย่างนั้นก็ไม่ไหว

อย่างว่าไร้นามก็คิดไปเรื่อยๆแบบไร้นาม

คุณ นายบอนปัญญาเยอะ เพื่อนมาก จะเขียนอะไรก็มีอ้างอิงเอาความคิดเพื่อนๆมาเล่า ไร้นามละทึ่งจริงๆ

 

สวัสดีครับ คุณไร้นาม
   ขอบคุณครับที่แสดงความคิดเห็นอีกครั้ง
   ความจริงแล้วการเขียนตอบของคุณไร้นาม ถ้าเปรียบกับการดูตะกร้อ ...

.... เหมือนกับการบล็อกบ้าง การทำแต้มบ้าง การเสิร์ฟหยอดบ้าง

   เรื่อง ป.6 นั้น ในสังคมที่นายบอนสัมผัส เป็นอย่างที่ได้เขียนความเห็นไปนั่นเองครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

  รูปแบบการเผยแพร่บันทึกใน 5 บล็อกของนายบอน มักจะพึ่งพาเพื่อนๆครับ เรียกว่า หยิบเรื่องชาวบ้่านมาเล่า ทำให้มีประเด็นเขียนได้เรื่อยๆ ไม่เช่นนั้น ไม่สามารถที่จะเปิดประเด็นเรื่องใหม่ๆได้ทุกวันครับ

เช่น บล็อก
จุดประกายวิจัย


จะเป็นข้อความ ความเห็นของคนอื่นทั้งสิ้น และใช้รูปแบบนี้ในการเผยแพร่บันทึกมาตลอด 11 เดือนครับ

ทำให้ความถี่ในการเขียนบันทึกของบล็อกต่างๆที่นายบอน ดูแล ไม่ได้ขึ้นกับ จำนวนข้อคิดเห็น เพราะส่วนใหญ่ แม่มีข้อคิดเห็นจากคนอ่าน แต่เราก็ยังคงเิ่พิ่มบันทึกต่อไป

จึงเป็นเหตผลสำคัญครับ ที่ต้องอ้างที่มาว่า มาจากพรรคพวก แต่พรรคพวกก้ไม่ต้องการให้ระุบุชื่อจริง จึงอ้างได้ในขอบเขตนี้เท่านั้นเองครับ

วัฒนธรรมการเขียนบันทึกอาจจะแตกต่างจาก blogger คนอื่นๆบ้างในจุดนี้ครับ

ส่วนที่ทำให้คุณไร้นามไม่พอใจนั้น นายบอนคงต้องบอน้อมรับผิดทั้งหมด เพราะเป็นบุคคลที่แสดงตัวตนในที่แห่งนี้ครับ ซึ่งจะต่างจากพรรคพวก ที่ไม่แสดงตัวตน จึงไม่ต้องรับผิดชอบในข้อความที่เกิดขึ้นครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท