เที่ยวภูเขียวก็เปรี้ยวได้


ฤาภูเขียวจะเป็นได้แค่เมืองผ่านและโรงน้ำตาลโรงใหญ่

ชัยภูมิเป็นเมืองรองที่ฉันมาออกรอบบ่อย แต่มักจะเป็นการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติซะส่วนใหญ่  มอหินขาวนี่ฉันไปมาน่าจะ 4-5 รอบถึงขึ้นกางเต้นท์นอนก็เคย ตาดโตน เขื่อนลำปะทาวงี้ ชมทุ่งกระเจียวนี่เก็บมาหมด แต่ฉันไม่เคยมาเที่ยวภูเขียว

ครั้งล่าสุดไปไหว้พระธาตุชัยภูมิมา   ฉันก็ยังไม่เคยมาเที่ยวภูเขียวอีกเช่นเคย

 สำหรับเมืองภูเขียว เมื่อมีคนชวนมาเที่ยว จึงเป็นความท้าทายมาก  งานนี้จะหมู่หรือจ่ามาดูกัน

ปกติเมืองใสๆ หรือเมืองท่องเที่ยวอุบัติใหม่กับฉันนี่ค่อนข้างจะถูกกัน   คนภูเขียวเสนอว่าลองมาเที่ยวดูไหม---ฉันและคณะจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ในฐานะคนชวนแอบกังวลใจนิดๆว่าเพื่อนร่วมทางของฉันจะสนุกไหมนะ

ข้อมูลพื้นฐานของเมืองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรจริงๆนะ สังคมเกษตร สังคมเงียบๆ 

ถ้าไม่มีบ้านเพื่อน...ฉันจะทำอะไรที่ภูเขียว  ไปวันเดียวกลับจะไปทำอะไรกัน  ถ้าไปค้างหนึ่งคืนยิ่งไม่มีอะไรไปใหญ่---แต่นะ...ลองมาเปรี้ยวที่ภูเขียวดู  ทริป 2 วัน 1 คืน จึงบังเกิดในบัดดล  

เริ่มทริปด้วยการแวะรับสมาชิกที่หลงลมมาด้วย  "น้องแก้วและป้าแม้ว"  2 คนนี้ไม่เคยเที่ยวด้วยกันมาก่อน   ในช่วงบ่ายของแต่ละวันจึงมีกิจกรรมจูนอัพกันบ่อยๆ ด้วยคำถามที่น้องแก้วมักจะถามป้าแม้ว ว่า  ป้าป้า ถนนสายนี้เราเคยผ่านหรือยัง 5555 +

ก่อนหน้า...ฉันรู้จักภูเขียวแค่ร้านลาบเป็ด อันนี้มาบ่อยขับรถมากินแล้วก็ขับกลับ  เราจะออกจากขอนแก่นประมาณ 9 โมง เพื่อมาให้ทันกินลาบเป็ดที่บ้านบัวพักเกวียน ไม่งั้นลาบเป็ดจะหมด ลาบเป็ดรสเนียนๆ  

แต่ทริปนี้เราเริ่มด้วยเวลาเดิม แต่เปลี่ยนเมนูเป็น ไก่ย่างสามแยกภูเวียง  แล้วกะว่าต่อไปที่น้ำผุดทัพลาว แล้วถึงจะเลี้ยวไปภูเขียว
ปรากฏว่าหน้าร้านไก่ย่างทำถนน ทำให้เราเข้าไปกินไก่ย่างไม่ได้  แถมเจ้าถิ่นบอกมาตามสายโทรศัพท์ว่า น้ำผุดทัพลาวคนมันเยอะ---สาวแก่อย่างฉันอย่าไปเลย เดี๋ยวผุบ่าวจะไม่แซว 555 แผนที่วางไว้จึงเปลี่ยนไปหมด

เราจอดหาของกินที่ชุมแพก่อนที่จะไปภูเขียว Chill Ca'fe  มีทั้งอาหาร เครื่องดื่มและกาแฟ  ที่สำคัญมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะ 

อาหารอร่อย  เครื่องดื่มใช้ได้ทีเดียว ทำอาหารเร็ว  ห้องน้ำสะอาด ที่จอดรถกว้างขวาง เหมาะเป็นจุดพักรถ

เลย Chill Ca'fe  ไปอีก 7 กม.ทางไปจังหวัดเลย  ก็เป็นพระธาตุหลวงชุมแพ ใครชอบแนววัดก็น่าแวะ แต่ด้วยแสงแดดทำให้เรางดไป

จริงๆ ระหว่างทางขอนแก่น-ภูเขียว ที่ท่องเที่ยวให้แวะเยอะ เช่น หินช้างสี  แหล่งโบราณคดีบ้านโนนเมือง พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ภูเวียง  พระธาตุหลวงชุมแพ  มีรูปมาฝากด้วยจากทริปที่เคยแวะ

จุดชมวิวหินช้างสี เขตอำเภอบ้านฝาง สามารถแวะเที่ยวก่อนไปภูเขียว ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชม. เดินเล่นชมวิวเขื่อนอุบลรัตน์จากมุมสูง

ส่วนพระธาตุหลวงชุมแพ พระธาตุคู่เมืองชุมแพ และโบสถ์เก่าที่โดดเด่นด้วยการใช้สีและปูนปั้น---สวยนะคะ ภาพชุดนี้ไปมาเมื่อต้นปี 2562 ถ้าแวะคงใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง

ทีมเราไม่แวะอะไรสักอย่าง  อิ่มท้องแล้วก็มุ่งตรงไปไร่ภูแสงทอง ฟาร์มผักเกษตรอินทรีย์ เพื่อไปคารวะ”คุณนุ”เจ้าถิ่นและทำตัวเป็นเด็กดี ให้ลูกพี่พาเที่ยว เริ่มจากเลาะเมือง ไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง 

ตามมาด้วยศาลเจ้าแม่ทับทิม...ไหว้เจ้าพ่อ-ไหว้เจ้าแม่ บอกแล้วทริปนี้เที่ยวเชิงวัฒนธรรม...จึงเริ่มด้วยว่าคนภูเขียวนับถือสิ่งใดเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว พร้อมข้อสังเกต---ศาลนี้มีแค่เจ้าแม่ทับทิมองค์เดียวไม่มีเจ้าองค์อื่นๆ


มันก็ได้ฟิลดีนะ...มาเองก็คงไม่แวะ...ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ในเมืองเดินช้า 

เราขับรถวนดูความรุ่งเรืองในอดีตผ่านบ้านเรือนไม้ สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ศาลจังหวัดภูเขียว  อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยประจำอำเภอภูเขียว

เฮ้ย...ภูเขียวไม่ธรรมดานะนี่ 

ตลอดทางก็ฟังเรื่องเล่าจากไกด์กิตติมศักดิ์ พระยาแล พระไกร  สนามบินเก่า (ห๊ะ---ภูเขียวมีสนามบินด้วยรึ) จีนไหหลำ  งานงิ้ว ความเป็นอยู่สมัยคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นหนุ่มเป็นสาวมีเปิดฟลอร์เต้นลีลาศกัน อาหารการกิน ความสัมพันธ์ของคนชุมแพและคนภูเขียว 

ต้นโพธิ์ที่ปลูกเมื่อการย้ายศาลหลักเมืองมา เติบโตคู่ศาลหลักเมืองมาถึงปัจจุบัน (รูปบนที่เป็นปัจจุบันจะถ่ายติดกิ่งต้นโพธิ์มาติ๊ดนึง--ต้นเดียวกันกับภาพขาวดำนี่หล่ะค่ะ) หลายๆคนในภาพนี้คงอยากเล่าเรื่องราวอดีตให้ลูกหลานฟังเพื่อเก็บบันทึกไว้เป็นประวัติเมือง

Story Telling เล่าถึงนางรำชุดแรกลูกหลานคนภูเขียวรำฉลองการนำหลักเมืองจากบ้านแก้งมาตั้งที่ศาลหลักเมืองปัจจุบัน
หรือเวลามีงานงิ้ว จะมีพิธีการเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาดูการแสดงที่ศาลเจ้าแม่ทับทิม เป็นต้น

ในตัวเมืองเหมาะจะเดินเล่นไปถ่ายรูปไป โดยเฉพาะ 5 แยกใกล้กับตลาดมีเรือนไม้โบราณสวยๆ ชิคๆ ให้ความรู้สึกใสกิ๊กเลย สายถ่ายรูปมานี่น่าจะชอบ น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่ตากล้องและไม่ได้เป็นนางแบบ  นี่ถ้าประชาคมคนภูเขียวเห็นด้วยบริเวณนี้พัฒนาเป็นถนนคนเดินได้เลย

คนภูเขียวมีสำเนียงเฉพาะ ฉันชอบฟังเพื่อนพูดภาษาถิ่น  ใครมีเพื่อนเป็นคนที่นี่ ลองให้พูดคำว่า งู ดูสิคะ  มันจะออกมาเป็น หงู๊....งูน่ารักๆ ...คนภูเขียวก็เลยน่ารัก ฮิิ้วววว 

คนภูเขียวมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีน้ำใจ   พักรีสอร์ทเป็นหลังๆ  นอนก่อนจ่ายเงินวันรุ่งขึ้น ไม่กลัวลูกค้าแอบขับรถหนี พบเห็นชาวบ้านเสียบกุญแจรถไว้หน้าร้านขายของ  ไม่ต้องระมัดระวังตัวแจเหมือนเมืองใหญ่ ผ่านไปไหนใครๆก็ยิ้มให้ บ้างถามมาจากไหนกัน---กรุงเทพเหรอ  พอบอกว่า ขอนแก่นเท่านั้นหล่ะ  พูดลาวกันตลาดแตก

น้องแก้วสรุปความว่า สังคมภูเขียวเหมือนเป็นเมืองคนรวย ที่ไม่ต้องเร่งรีบหาอยู่หากิน  เชื่อว่าคนภูเขียวได้ยินนิยามนี้คงยิ้มกว้างมากๆ

แดดร่มลมตก อาจารย์หน่อง เพื่อนของคุณนุมาสมทบ  ชวนกันนั่งรถเล่นเลยไป อ.เกษตรสมบูรณ์ ที่ถนนสวยขนานไปกับเทือกเขาภูเขียว ไม่ไกลเลยนะคะ  น่าจะประมาณ 30 กม.  ฤดูร้อนนี่ดอกหางนกยูงบานเต็มสองข้างทาง---เกาหลีก็เกาหลีเหอะ---ถ้าเป็นรถตัวเองคงจอดรถลงไปถ่ายรูปกับถนนสวยดอกไม้งามแล้ว

อ.เกษตรสมบูรณ์ มีที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงเกษตรวิถี  แวะชมบรรยากาศบริการล่องแพของกลุ่มแม่บ้านบ้านโนนทอง มีอาหารและคาราโอเกะ เหมาะกับสายร้องเพลงและกิจกรรมกลุ่ม  ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ "ล่องแพ แลน้ำพรม ชมภูคิ้ง"  ซึ่งภูคิ้งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขียว

ใครชอบส้มโอ สามารถช้อปได้ตั้งแต่จุดนี้ หรือจะไปซื้อถึงสวน ณ จุดถัดไป ถือเป็นการกระจายรายได้ ส้มโอของชัยภูมิ ไม่ว่าจะเป็นของบ้านแท่น หรืออ.เกษตรสมบูรณ์รสชาติอร่อย  จริงค่ะลองมาแล้ว

แต่คุณนุพาเราไปทัวร์สวนผลไม้บ้านบุ่งสิบสี่ "นั่งอีแต๊ก ล่องเรือแจว แล้วชิมส้มโอ"  

เรากรี๊ดสนั่นกับหมารีเชฟชั่น---ทั้งว่ายน้ำ  ทั้งเป็นกับตันเรือโชว์ น่ารักมาก---ใครไม่เห็น...หมา ถือว่าพลาด---ก็ฉันเป็นแนวสายหมานี่นะ 

เวลามาล่องเรือฉันว่าช่วงเช้าหน่อย หรือบ่ายแก่ๆ จะเหมาะไม่ร้อน ติดหมวกมาด้วยก็ดี ไม่งั้นจะเป็นชนเผ่าขอม(หัว) เหมือนฉัน  ระหว่างทางก็จะมีแวะสวนผลไม้ เน้นส้มโอ ได้ชิมจนอิ่ม และสามารถซื้อกลับได้ บ้านบุ่งสิบสี่เป็นหมู่บ้านนวัตวิถีมีบริการโฮมเสตย์ (999 บาท ที่พัก 1 คืน อาหาร 3 มื้อ) กิจกรรมล่องเรือ (170 บาท) ถ้ามามื้อกลางวัน(399 บาท อาหาร 1 มื้อ+ล่องเรือ) เพื่อความสะดวกนัดหมายกับทางกลุ่มก่อนนะคะ  จะได้จัดบริการน้ำท่าไว้ต้อนรับ---ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาคอยนาน

ล่องเรือแล้วก็จะพาแวะสวน แลกเปลี่ยนความรู้เชิงเกษตรวิถีไป รอเจ้าของสวนแกะส้มโอ ก็สโลว์ไลฟ์ไป หูก็ฟังเรื่องส้มโอแดงภูคิ้ง สีแดงสวยเหมือนทับทิม หวานฉ่ำ แต่สวนที่เราไป กลาง พ.ค. 2562 ยี่ห้อทับทิมสยามนี้ยังไม่ออก

จวนค่ำพอดี เราจบวันแรกด้วยทริปล่องเรือ และกลับมาทานข้าวเย็นที่ไร่ภูแสงทอง...ขอบคุณการดูแลคร่า

ตื่นเช้ามาอากาศเช้าๆ ที่ภูเขียวค่อนข้างสดชื่น  นี่ขนาดมาหน้าร้อนนะ---ฉันออกไปเล่นตลาดดีกว่า

ตลาดสดมีเสน่ห์ ฉันมาหาเลาะของกินเอาบรรยากาศ ทั้งที่เจ้าของไร่ภูแสงทองบอกให้ไปกินกาแฟที่ร้าน เราได้ทักทายผักสดหน้าตาแปลกๆก็ที่ตลาดนี่หล่ะ

ผักอีตูบมูบ  เอามากินกับลาบ หรือทำอ่อมกบ  ว่างั้นนั้น ส่วนภาพข้างล่างคือ โปรตีนตามฤดูกาล

มาถึงตลาดแล้ว  เห็นของสดก็เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ  แต่จะให้ถึงภูเขียวจริงต้องลองของกินในตลาด ...สะอาดดีนะคะ ของกินราคาถูก

เริ่มด้วยร้านกาแฟเจ้หวัง เนสกาแฟร้อนกับกาแฟโบราณ นมข้นหวานมันก็จะหวานๆ หน่อยน๊า แต่เสียงช้อนกระทบแก้วเวลาชงนี่ เชื่อเถอะเสน่ห์มันอยู่ตรงนี้

ภาพหนังสือพิมพ์กับกาแฟโบราณนี่  คุ้นๆ คิดถึงตอนเด็กๆ ที่พ่อเอาไปสมาคมกาแฟด้วย ดูมีเสน่ห์มากมายและย้อนความจำในวัยอดีตขึ้นมา

ก๋วยจั๊บหน้าร้านกาแฟเจ้หวัง เครื่องมาเต็มๆ ราคา 30 บาทเอง

ยังเช้าอยู่ แวะไปเล่นฟาร์มผักออร์แกนิค...ไร่ภูแสงทอง ตอนเช้านี่แดดไม่ร้อนลงไปเล่นแปลงผักได้ เจ้าของไร่อนุญาตให้ลงไปตัดผักเอง หรืออยากเก็บไข่จากแม่ไก่อารมณ์ดีก็ได้  ส่วนร้านอาหารและกาแฟเปิดเวลา 9.00-20.30 น.

ผักสวิสชาร์ด สีสวย มีหลายสี เพิ่งเคยเห็น


กลับมาเชคเอ้าท์ออกจากที่พัก แล้วหาข้าวกินอย่างจริงจัง ฉัน Request อาหารที่คนภูเขียวกินกัน  ข้าวมันไก่ในตำนานร้านโกตี๋  เตี๋ยใจอ่ะวันนี้ 10.30 ข้าวมันไก่หมด  เราได้แต่ข้ามถนนมาถ่ายรูปแก้เก้อที่กำแพงวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม   ใครๆมาก็เชคอินร้านนี้   ยกเว้นกลุ่มเรานี่หล่ะ 555+ นอกจากข้าวมันไก่แล้วไกด์ท้องถิ่นยังบอกเราว่า อาหารตามสั่งเค้าก็อร่อย  โดยเฉพาะ หมูตุ๋น   อ้าวเหรอ---ไม ไม่บอกก่อน

ทำให้ต้องหอบท้องมากินข้าวที่ไร่ภูแสงทองอีกมื้อ...อาหารอร่อย ราคาไม่แพง  บรรยากาศสบายๆ ผักส่วนหนึ่งใช้ผักปลอดสารพิษจากในไร่  และเมนูที่ต้องลองคือ สลัดหม่ำลุยสวน และสปาเก็ตตี้หม่ำขี้เมา ที่ใช้"หม่ำ"คุณภาพดี จากท้องถิ่นเป็นวัตถุดิบ

พิซซ่าเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องลองนะคะ น้องแก้ว กิน 2 วันติดกัน....อร่อยค่ะ หลานบอก ขอสั่งพิซซ่าอีกได้ไหม  ได้ดิ 89 บาทเอ๊ง

อิ่มหมีพีมันแล้วก็เตรียมขยับไปดูแห่นาคโหด ที่หมู่บ้านโนนเสลา-บ้านโนนทัน  อยู่ห่างจากไร่ภูแสงทองหรือตัวเมืองประมาณ 12 กม.


แห่นาคโหดเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา มีชื่อเสียงในด้านความแปลกของพิธีการและความสนุก การร่วมมือร่วมใจของผู้มาร่วมงานบวช คนเยอะมว๊าก ทั้งผู้มาร่วมงาน สื่อมวลชน และคนมาเที่ยวชม โดยเฉพาะผุชาย ผุชาย และผุชาย เย๊อะ 5555+ จัดกิจกรรมทุกปีในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เชคปฏิทินกิจกรรมของ ททท.ได้เลย

ฉันดีใจที่มากับเจ้าที่ เอ้ย เจ้าถิ่น ทำให้ไม่ต้องจอดรถไกล มีที่นั่งพัก ให้คำแนะนำในการเดินเที่ยว ...ถ้าอยากมาเที่ยวเองหากไม่มีคนรู้จักพามา  ก็สามารถเข้ามาเที่ยวเองได้  ชาวบ้านดูแลดี จุดรวมพลอยู่ที่วัดตาแขก ซึ่งนอกจากงานแห่นาคโหดแล้ว ยังมีสิมเก่าและงานศิลปะในศาสนาที่สวยงามให้ดูด้วย  เช่น ซุ้มนาคที่เรียบง่ายแต่สวยงาม ใครสนใจปูนปั้นสายนาค โบสถ์แห่งนี้ก็นับว่าน่าสนใจทีเดียว

พิธีแห่นาคโหดจะเริ่มช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป  แต่น่าเสียดาย เพราะเป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่าจะเอาตัวไปจัดวางไว้ที่ตรงไหน รูปงานแห่นาคที่ได้มา จึงยังไม่เป็นที่ถูกใจ   สงสัยจะเป็นเหตุผลที่ต้องไปใหม่ในปีหน้า

สถานที่จัดงานแห่นาคโหดคือหมู่บ้านโนนเสลา ยังมีความเด่นเรื่องผ้าขิด ผ้าปรกหัวนาค ผ้าคลุมไหล่ หมอนขิด  คนรักผ้า สามารถซื้อเป็นของติดไม้ติดมือได้ ในหมู่บ้านยังสามารถเดินชมกี่ทอผ้าที่ขึ้นการทอไว้แล้ว "สวย -สด- และงดงาม"  

ฉันได้ผ้าคลุมไหล่จากโนนเสลาไปใช้อยู่ผืนหนึ่ง เป็นฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ  ฉันเองไม่ได้มาสายผ้า แต่อยากเชียร์เพราะงานสวยมาก ประณีต สามารถใช้งานได้ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ผ้าคลุมใหล่ที่นี่มีขนาดยาวพิเศษ เหมาะสำหรับสาวพลัสไซส์อย่างฉัน

ผ้าขิดลายแห่นาคก็เป็นอะไรที่มี Story Telling และเป็น GI (Geographical Indication)  ของท้องถิ่น เช่นเดียวกับผ้าปรกหัวนาค ที่ฉันเอามาเล่นขอมหัว แต่ดูไปแล้วก็เกร๋ดี ไม่ใช้ก็นำไปใส่กรอบได้---ผ้าไทย ไทยไม่ใช้ แล้วใครจะใช้

ดูการแห่นาคโหดเสร็จก็เกือบ 6 โมงเย็น ก็เลยขอลาเจ้าภาพ กลับก่อน...จะได้หาเหตุมาเที่ยวไอ้ที่ยังเที่ยวไม่ครบ...เจ้าถิ่นห้ามตอบว่าไม่ว่างนะ

ลืมเล่าเรื่องที่พัก ฉันพักที่พักในภูเขียว เฮือนไม้สัก เป็นแบบแยกหลัง เงียบสงบ สะอาดดี อยู่ใกล้สวนสาธารณะหนองผักปัง ที่คนภูเขียวแท้จะเรียกว่า หนองปัง ---สามารถเดินออกกำลังกายได้  

แต่ก็ภูเขียวแปลก เก็บค่าลงสระว่ายน้ำเพิ่มจากค่าห้อง 

หากสนใจมาท่องเที่ยว คุณภานุพงศ์ เจ้าของไร่ภูแสงทอง คนทำฟาร์มผักออร์แกนิค และคุณสุขุมแห่งแบรนด์ SukumKhit คนรักผ้าขิด ที่ยินดีทำหน้าที่เป็น Informationist ด้วย 2 คนนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะนำเสนอสิ่งดีๆของภูเขียวให้คนอื่นรู้จัก ภูเขียวเป็นมากกว่าแห่นาคโหด---เมืองต้องห้ามพลาด

ในภูเขียวยังมีพระธาตุหนองสามหมื่น ที่ฉันเก็บไว้สำหรับทริปถัดไป มีหมู่บ้านปลูกต้นตะโกดัด  ดูแล้วยังมีความน่าสนใจอีกเยอะ 

คงตอบโจทย์แล้วหล่ะว่า "ภูเขียวไม่ใช่แค่เมืองผ่าน แต่เป็นเมืองต้องตั้งใจมา"  กลับมาแล้วฉันเองก็มีเรื่องคิดกับเมืองภูเขียวมากมาย  

ในสายตาของคนหนึ่งที่ชอบท่องเที่ยว ฉันเชื่อว่าภูเขียวนอกจากจะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เชิงการเกษตรแล้วยังเป็นเมืองที่รุ่มรวยวัฒนธรรม จึงขอเป็นกำลังใจให้คนรุ่นหนึ่งที่อยากจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ภูเขียวเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ด้วยเชื่อว่าวัฒนธรรมประเพณีที่อยู่รายรอบความ"เป็น-อยู่-คือ" ของคนภูเขียว  จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นภูมิปัญญา และเป็นความภาคภูมิใจของคนภูเขียวต่อไป

ภาพเก่าเล่าเรื่อง พระธาตุหนองสามหมื่นระหว่างการบูรณะ---เอาไว้ทริปหน้านะถึงแน่

เมื่อกลับมาทำงาน หลายๆคนทัก หลายๆคนอยากไป---พาไปหน่อย...นั่นไง  ภูเขียวเปรี้ยวได้

---ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก คุณภานุพงศ์ เร่งรัดกิจ และคุณสุขุม แผลงรักษา---

Foot Note---

หมายเลขบันทึก: 661722เขียนเมื่อ 19 พฤษภาคม 2019 01:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 ธันวาคม 2019 19:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท