ผมไปไหนมาไหน ได้ยินแต่คนพูดว่า “ไปทำงาน” ผมเกิดความสงสัยว่าเขาไปทำอะไรกัน บางคนก็บอกว่า ไปทำงานในเมือง บางคนก็บอกว่าไปทำงานที่ไร่นา บางคนก็บอกว่าไปทำงานที่โรงงาน แต่ละคนยุ่งๆทั้งนั้น
เอ๊..เขาไปทำอะไรกัน ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกครับ อาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่เคยทำงานมั้ง! เพราะผมคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่า สิ่งที่ผมทำอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมทำเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับตัวเอง สังคม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ไม่รู้ว่าเป็นงานหรือเปล่า เพราะผมไม่ทราบว่างานแปลว่าอะไร
สมัยเด็ก ๆ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ผมเลยไม่รู้ว่าเงินกับงาน อะไรคืออะไรกันแน่ เพราะภาษาบ้านผม (โคราช) คือ แปลว่า เหมือน เช่น โลก คือ ผลมะกรูด เพราะมีผิวไม่เรียบเหมือนกัน ผมตอบอย่างนี้ทุกทีแหละครับ และก็ได้คะแนนศูนย์ทุกครั้งเลย นาน.....กว่าผมจะรู้ว่า คำว่า “คือ” แปลว่าอะไร พอโตขึ้นมาหน่อย ครูสอนวิชาฟิสิกส์ สอนผมว่า งาน = แรง x ระยะทาง ผมก็พอท่องได้ คำนวณได้อยู่หรอกครับ แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า งาน แปลว่าอะไร
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ทุกคนพูดแต่เรื่องการหางานทำ แล้วเขาไปหางานกันที่ไหนครับ บางคนบอกว่าไปเตะฝุ่นมา เอ๊..แล้วเตะฝุ่น มันเป็นงานยังไงครับ ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม
จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย ผมสงสัยมากครับว่า เตะฝุ่น มันทำให้ได้งานอย่างไร ผมเลยตั้งใจสมัครเรียนสาขาปถพีวิทยาครับ เรียนเกี่ยวกับดินโดยเฉพาะเลย ตั้งแต่เรื่องการกำเนิด การพัฒนาการ การใช้ประโยชน์ เผื่อจะได้รู้ว่า การเตะฝุ่นหรือเตะดินทำให้เราได้งานอย่างไร สรุป ผมจบมาเดินเตะดินอยู่หลายปีแล้ว ก็ยังไม่รู้คำตอบเหมือนเดิมครับ..
ทุกวันนี้ผมมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เขาบอกให้ผมไปลงบัญชีการปฏิบัติงาน ผมก็ไปเซ็นชื่อตามที่เขาบอกครับ ผมก็ยังไม่เห็นว่าผมทำงานอะไร นอกจากว่าไปเซ็นชื่อและก็มานั่งที่ห้องพักอาจารย์ (แสดงว่าเขาให้ผมมานั่งพัก ไม่ใช่มาทำงาน แล้วผมจะได้ทำงานตอนไหนกันนี่)
สักพักก้มีเด็กที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา มานั่งรอในห้องเรียน ผมก็ไป่เล่าเรื่องที่เคยได้ยินมา พอจบชั่วโมงก็แยกกันไป ไม่รู้ว่าผมได้ทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้
บางทีก็พาเด็กไปเดินเตะฝุ่นทีละชั่วโมง สองชั่วโมง เล่านิทานให้ฟังบ้าง ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นการทำงานหรือเปล่า
บางทีผมก็ไปชวนชาวบ้านคุย บางทีก็ไปคุยกับนักการเมือง บางทีก็ไปคุยกับข้าราชการ กรม กอง ต่างๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วแต่จะคิดออก แล้วก็เอามานั่งเขียนบ้าง เล่าให้คนอื่นฟังบ้าง เจ้าหน้าที่ทุกคนเขาบอกว่าผมไปทำงานครับ ผมก็ยังประหลาดใจอยู่ว่า ผมทำงานตรงไหน บางทีก็เข้าประชุมกรุงเทพ บางทีก็ไปประชุมต่างประเทศ เขาก็บอกว่า ผมไปปฏิบัติงาน ณ ต่างประเทศ เอ๊..แล้วงาน แปลว่าอะไรครับ ยังงงตลอดเลยครับ
ตอนนี้ มีคนเขาบอกผมว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แต่ผมยังไม่ได้ทำงานเลย แล้วผมจะมีค่าไหม แล้วทำอย่างไร ผมจึงจะมีค่า ผมรู้แต่เพียงว่า การช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ทำให้ผู้อื่นนับถือผม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือว่าสิ่งนั้นคืองาน หรือว่าสิ่งนั้นทำให้ชีวิตผมมีค่าขึ้น
ฉะนั้น ความรู้สึกตอนนี้ก็คือ งาน น่าจะแปลว่า การทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้หรือเปล่า เพราะแค่ทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ยังไม่น่าจะเป็นงาน เช่น การเข้าห้องน้ำไปปลดทุกข์ ไม่น่าจะถือว่าเป็นการทำงาน แต่การพาคนอื่นเข้าห้องน้ำ น่าจะเป็นการทำงาน เพราะผมเคยเห็นเขาพูดกันอย่างนั้น
ผมเลยมาสรุปว่า งานน่าจะแปลว่า การทำอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เอ๊..ผมพูดแบบนี้ผิดไหมครับ เพราะผมสงสัยว่า บางคนเดินไปเดินมาก็บอกว่า ทำงานแล้ว บางคนแค่ไปนั่งฟังเขาประชุมที่งานมหกรรมจัดการความรู้ครั้งที่ ๓ ก็บอกว่าไปทำงาน ผมว่าไม่น่าจะใช่นะ
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันคิดครับว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร เรากำลังทำงานกันอยู่หรือเปล่า แล้วงานที่เราจะมีประโยชน์หรือไม่อย่างไร ถ้าไม่มีประโยชน์อย่าไปเรียกว่างานเลยครับ เสียคำเขาเปล่าๆ ครับ
ใครมีข้อแลกเปลี่ยนอะไร เชิญได้เลยนะครับ...ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตายกันทุกคนใช่ไหมครับ งานของเราที่กำลังทำอยุ่ตอนนี้ก็คือ การเดินไปสู่ความตายกันทั้งสิ้น
งานของผมก็คือการตายให้เป็นครับ แต่เท่านั้นยังไม่พอต้อง บอกคนอื่นให้ตายกันให้เป็นด้วยครับ
การตายให้เป็นต้อง ทำตัวเองให้เบาครับ ละทุกอย่างทางใจนะครับ เพราะยังไงถ้าตายไปก็เอาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว งานเพื่อการละ ในทุกๆการกระทำ มีขอใช้ก็ใช้อย่างมีสติ ใช้เพื่อนการละ มีแฟนก็มีอย่างมีสติมีเพื่อการละ
ฝึกการละวาง เพราะตายไปยังไงก็เอาไปไม่ได้ยังไงก็ต้องละ สู้ฝึกไว้ก่อนไม่ประมาท
งานของมนุษยืเราน่าจะเนงานพวกนี้นะครับ งานฝึกใจเพื่อล่ะ รึเปล่าครับ
ขอบคุณครับที่มาต่อยอดให้
ผมพยายามเปิดประเด็นกว้างๆ แบบแหย่รังแตนไว้ก่อน
คาดว่าจะมีสมาชิกจะมาช่วยเติมเต็มให้ครับ
ขอบคุณอีกครั้ง ด้วยความจริงใจครับ
ปัจจุบันรู้สึกศาสนากับทุนนิยมยิ่งไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ ถามเด็กรุ่นใหม่นี่ money come first ครับ งานไรไม่สำคัญ :<
เงินคือตัวทำลายที่รุนแรงที่สุดเลยครับ
ไม่มีค่อยมีใครคิดเรื่องงานแล้ว
คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้เงิน
แล้วยังคิดว่านั่นคือการทำงาน
น่าสงสารจริงๆครับ
ขอบคุณครับที่มาแลกเปลี่ยน
สำหรับผม นิยามของ งาน คือ หน้าที่ ซึ่งแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. หน้าที่เพื่อ ตัวเอง ขั้นพื้นฐาน ได้แก่การกิน นอน ขับถ่าย ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ฯลฯ ทั้งหมดก็เพื่อให้ กาย และ จิต เป็นปกติ ไม่เสียสมดุล
2. หน้าที่เพื่อตัวเอง ขั้นสูง ได้แก่ การแสวงหา ความสุข ความพอใจ ให้กับตัวเอง ด้วยการทำทุกสิ่งที่ทำได้ ให้เป็นประโยชน์ เกื้อกูล ผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อบอกใคร หรือบอกตัวเองว่า กำลังทำงาน ผมจะหมายถึงแต่ข้อ 2. ถึงอย่างไร ผมก็แค่ คนเห็นแก่ตัว อีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง
อาจารย์พินิจครับ
ผมก็ทำหน้าที่เช่นเดียวครับ
ขั้นพื้นฐานผมรอดแล้วเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยปัจจุบันที่ไม่มีปัญหา
ขั้นสูง กำลังทำครับ
ทีนี้ งานกับหน้าที่ อาจารย์ถือเป็นเรื่องเดียวกันหรือครับ แล้วงานนอกหน้าที่จะมีไหมครับ หรือาจารย์ว่าอยู่ในข้อที่ ๒ หมดเลยครับ โดยการความสุขทางใจ
ผมยังย่อยความคิดอาจารย์ไม่ค่อยออกครับ
เหลือแต่ขั้นสูง
อาจารย์พินิจครับ
ขอบคูณครับที่มาขยายความครับ