วันนี้มีแรงบันดาลใจและปัญญาเกิดขึ้นมาหลายอย่าง แต่ก่อนจะเล่าเรื่องราวในรายละเอียด ก็ขออนุญาตขอบคุณอาจารย์กัลยาณมิตรทุกท่าน เริ่มตั้งแต่อาจารย์วิศิษฐ์, อาจารย์ฌานเดช, อาจารย์หมอวิธาน, อาจารย์มนตรี และอาจารย์ณัฐฬส ท้ายที่สุดที่ช่วยให้เกิดปัญญา หรือเรียกว่าเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ก็เห็นจะเป็นอาจารย์ประภาภัทร นิยม ซึ่งพูดได้ว่าประทับใจและขอบพระคุณท่านมาก ๆ แต่ที่เสียดายก็คือว่า ทำไมถึงเจออาจารย์ช้าไป ทั้ง ๆ ที่อยากจะเจอตั้งนานประมาณ 2-3 ปี แต่ไม่ได้นำพาตัวเองไปพบพาน จนกระทั่งอาจารย์ได้เดินทางมาเก็บข้อมูลวิจัย เรื่อง โรงเรียนวิถีพุทธ จึงได้เจอกัน อาจจะเป็นไปได้ว่าตอนนี้ตัวเองได้มาสนใจปฏิบัติตามแนวทางวิถีพุทธเหมือนกัน จักรวาลจึงได้จัดสรรให้มาเจอกัน แต่บุคคลสำคัญที่จะลืมขอบคุณไม่ได้ก็คือ พ่อของลูกนั่นเอง ที่ได้อนุญาตหรือนำพาให้มาพบเจอกับท่านอาจารย์ที่โรงเรียนใต้ร่มไม้
พูดถึงโรงเรียนใต้ร่มไม้ ก็เป็นเสมือนหนึ่งสถานที่เปิดรับจักรวาลหรือสิ่งดี ๆ ให้เข้ามาในชีวิตตนเอง ครั้งแรกที่ไปก็ประมาณปี 2543 ตอนนั้นมีคำถามในเรื่องของชีวิตมากมาย จักรวาลจึงจัดสรรให้เดินไปทางทิศตะวันตก ปีนั้นได้เจอคุณสาทร, คุณจินตนา สมพงศ์ เจ้าของโรงเรียน และได้เจอกับอาจารย์ Benและ Thun chery อาจารย์สอนการศึกษาแนววอลดอร์ฟจากออสเตรเลีย ในเวลาต่อมาได้เจอครูอุ้ยจากโรงเรียนอนุบาลบ้านรัก และสุดท้ายก็ได้เจอกับอาจารย์ประภาภัทร เป็นช่วงที่เกิดคำถามเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้ลูกว่า จะให้การศึกษาเด็กอย่างไร จึงจะทำให้เด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ โดยเอาดีนำเก่ง
ขอย้อนหลังมาอีกนิดหนึ่ง เมื่อวันที่ 26-28 มิถุนายน 2549 ได้มีโอกาสมาเข้าโครงการอบรมเรื่องกระบวนการเพื่อการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่เชียงราย ซึ่งครั้งนั้นกระบวนกรหลักคือ อาจารย์หมอวิธานและอาจารย์ฌานเดช ซึ่งเหมือนการไปอบรมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการอบรมครั้งแรกมาประมาณ 7 เดือน ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจไป แต่เนื่องจากอยู่ในแวดวงสุขภาพก็เลยตัดสินใจไปเพื่อจะรู้ว่านำมาใช้กับงานของเราได้ไหม ที่สำคัญที่สุด เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีที่น่าจะร่วมสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น เสมือนหนึ่งยืนยันความก้าวหน้าชีวิตของกระบวนกรน้องใหม่ ซึ่งตอนนี้ล่วงมาแล้วประมาณ 9 เดือน พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในค่อนข้างชัดเจน ก่อนเวลาหกเดือนจะรู้สึกว่ายังสลัดหรือตอบคำถามบางเรื่องไม่ชัดเจน ตอนที่ชัดมากก็ตอนเข้าห้องเทต้าของอาจารย์ ฌานเดช ตอนคุณคือใคร เรียกได้ว่าจิตบริสุทธิ์ขึ้นเยอะ น้ำใสขึ้นเยอะ จนกระทั่งใส่ชุดสีชมพูไม่ได้ ต้องใส่ชุดสีขาวในวันรุ่งขึ้น ซึ่งขอมาเชื่อมโยงกับวิถีพุทธของอาจารย์โกเอ็นก้าเล็กน้อย ท่านบอกว่าการนั่งสมาธิเฝ้าตามลมหายใจให้สงบนิ่งจนสามารถเข้าถึงจิตใต้สำนึก สามารถเจอรากเหง้าของปัญหา และสามารถขุดต้นตอออกมาได้ ท่านเรียกว่าผ่าตัดจิต สุดท้ายจิตก็จะบริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยมีพระพุทธเจ้าได้พิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นแล้วว่า มนุษย์สามารถกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นได้
เสมือนหนึ่งจะบอกว่า การเข้าร่วม TOT การเขียนโลกใบใหม่ของมูลนิธิสังคมวิวัฒน์ สถาบันขวัญเมือง เชียงราย มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจที่ได้ลงทุนบุกฝ่าอากาศจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือซึ่งเป็นทิศแห่งความมุ่งมั่น การกระทำ และการกล้าเผชิญ การเดินสู่ดินแดนแห่งที่สูง อันเป็นการเดินทางของจิตวิญญาณหรือเปล่า ?
วันก่อนได้มีโอกาสอ่านบทความของอาจารย์หมอวิธาน เรื่อง การประเมินผลและดัชนีชี้วัดของวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ .ในองค์กรที่มีมนุษย์ทำงานร่วมกัน เป็นองค์กรที่มีชีวิต เราควรจะประเมินอย่างไร เพื่อให้ทราบว่าองค์กรเหล่านี้ได้มีการพัฒนา ซึ่งในทัศนะของตัวเองเห็นด้วยกับบทความที่อาจารย์เขียน แล้วในทางปฏิบัติเราควรจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมอย่างไร จึงจะสามารถสื่อให้ผู้คนเข้าใจได้
ขออนุญาตประเมินตนเองจากการอบรม 9 เดือนผ่านมา บอกได้ว่าได้แค่นั่งและคลานได้ แต่ยังไม่สามารถเกาะยืนหรือยืนด้วยตนเองได้ ยังต้องคิดถึงพ่อแม่ หรือหาตัวช่วย หรือปรึกษากัลยาณมิตรอยู่เนือง ๆ
เรื่องแรกเป็นเรื่องของทักษะการฟัง ซึ่งพัฒนาได้ดีกว่าเดิม อาจอยู่ในระดับ B คือ ฟังมากขึ้น ห้อยแขวนได้ ตัดสิน (ฟันธง) น้อยลง รอยคอยการผุดบังเกิดได้นานขึ้น
เรื่องที่สองเป็นเรื่องโหมดของชีวิต ก็คงจะเป็นโหมดปกติมากขึ้น หากเปรียบเทียบภายใน 1 วัน พบว่าอยู่ในโหมดปกติมากกว่าโหมดปกป้อง สัดส่วนน่าจะประมาณ 80 : 20 พบร้อยยิ้มมากขึ้น อุเบกขาได้บ่อยขึ้น แต่มีบางวันก็ยังน่าสงสารอยู่ แต่ก็เพิ่งประจักษ์ว่าการมีกัลยาณมิตรเป็นสิ่งประเสริฐ ช่วยเยียวยาได้เยอะมากทีเดียวค่ะ วันนี้เพิ่งคุยกับนุชว่ารู้แล้วว่ากลุ่มช่วยเยียวยาซึ่งกันและกันได้อย่างไร จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านอาจารย์ทางเชียงรายจึงคุยกันในวงน้ำชาได้ทุกเช้า น่าจะมีเอ็นโดฟินหลั่งมาไม่น้อยทีเดียว คิดแล้วก็อยากจะจัดตั้งวงน้ำเต้าหู้ขึ้นที่คณะแพทย์บ้าง นี่คงเป็นเสน่ห์ของวงที่ใช้สุนทรียสนทนาที่ตัวร้อยเรียงและสื่อสาร เมื่อโหมดของชีวิตปกติมากขึ้น คลื่นสมองเป็นอัลฟ่ามากขึ้น ชีวิตปกติมากขึ้น ความโกรธก็น้อยลง หากเกิดขึ้นก็จะสามารถดับได้ภายในเวลาอันสั้น เพราะรู้ว่าการโกรธ 1 ครั้ง ทำให้ IgA ในน้ำลายก็ลดลงครึ่งหนึ่งต่อครั้ง และยังคงเป็นเช่นนั้นอีก 6 ชั่วโมง แล้วถ้าโกรธ หงุดหงิดบ่อยล่ะจะเป็นอย่างไร ? ……..มะเร็งคงได้ถามหายามอายุห้าสิบกว่ากระมัง ? ร่องอารมณ์เดิมของเราก็จะค่อยลืมเลือนไป และร่องใหม่ที่เกิดขึ้นก็คงเป็นไปในรูปของบันไดวนมากกว่าการกลับไปตามแนวร่องเดิม
ส่วนความคิดก็มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง หรือการเปิดเทปม้วนเก่าน้อยลง มีการหยุดได้เร็วขึ้น และที่สำคัญการผุดบังเกิดความคิดใหม่มีความชัดเจน แม้จะช้า ๆ หรือเรียกว่า รอคอย, เฝ้ามอง อย่างเนิ่นนาน รอคอย การปิ๊งแว้บ ของคำตอบเรื่องนี้ว่าทางออกที่ดีคืออะไร
แต่ก็น่าสงสารความเป็น “กระทิง” มาก ๆ เพราะกระทิงจะหุนหันพลันแล่น รอคอยไม่ค่อยได้ นี่รอได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว ก้าวร้าวแทบไม่โผล่ปรากฏอีกเลย ก็เพิ่งสังเกตตัวเองเมื่อเดือนสิงหาคมว่าความเป็นอินทรีย์เริ่มปรากฏชัดขึ้น โดยสังเกตจากหลังการอบรมของอาจารย์หมอวิธานแล้ว ก็พยายามหาแนวทางนำพาสิ่งดี ๆ เข้าสู่คณะแพทยศาสตร์ โชคดีที่ทางคณะแพทยศาสตร์ของเรามีคนดี ๆ เยอะ โดยเฉพาะกลุ่มทีมงานของแพทย์และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ตอบรับให้มีการจัดอบรมเรื่อง “การสื่อสารที่กรุณา” ซึ่งโดยส่วนตัวจะชอบชื่อนี้มาก (ได้รับฟังมาจากพี่สุ่ยว่าอาจารย์ณัฐฬสจัดได้ดีมาก) ประกอบกับจากการทำ ‘internal survey ยังยืนยันว่าทุกหน่วยงานของคณะแพทยศาสตร์ทำงานในหน่วยของตนเองได้ดีมาก แต่การสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานยังติดขัดและเป็นโอกาสพัฒนาของโรงพยาบาล ถ้าให้อินทรีย์มองก็พอเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ใจจริงแล้วอยากจะนำพาสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้สงบซะทียังแอบชื่นชมอาจารย์วิศิษฐ์อยู่ตลอดเวลาว่าอาจารย์มองการณ์ไกลมาก อาจารย์เคยบอกพวกเรา (กลุ่มมนุษย์) ว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ต้องใช้ถึงขั้นภาวนาจึงจะสำเร็จ อาจารย์เลยชวนพวกทางใต้ไป Training เพราะท่านสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อยากให้พวกเราได้ช่วยเผยแพร่สิ่งดี ๆ ทางนี้ เผื่อว่าจะได้มีความผาสุกกันซะที
เขียนมาถึงจุดนี้แล้วก็จะพูดถึงแรงบันดาลใจและปัญญาที่กล่าวไว้ในตอนต้นอีกเล็กน้อย คือ เรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชน ถึงเวลาแล้วที่สังคมจะได้ช่วยเด็ก ๆ ของเราให้มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ พ่อแม่หลายคนมีความทุกข์ ไม่ทราบว่าจะนำพวกเด็ก ๆ ไปถึงที่หมายให้ปลอดภัยได้อย่างไร เป็นโจทย์ใหญ่มากสำหรับตัวเอง เพราะการสร้างมนุษย์ (1 คน) มีคุณค่าและความหมายมาก ยิ่งในท่ามกลางกระแสของโลกวัตถุนิยมแล้วช่างลำบากไม่น้อยทีเดียว แต่เราก็จะต้องมุ่งหน้าฟันฝ่ายด้วยความเพียรพยายามและปัญญาที่มีอยู่
วันนี้เป็นวันที่ต้วเองตัดสินใจว่าได้ฤกษ์งามยามดีแล้วที่จะจัดการศึกษาให้ลูกด้วยหลักของความรักความเมตตาเป็นที่ตั้ง และเน้นความเป็นตัวตนของเขามากกว่าสนองความอยากของเรา เป็นไปอย่างสมานฉันท์ มีท่วงที จังหวะก้าวที่ช้า ๆ แต่มั่นคง หนักแน่นด้วยปัญญาร่วมของคนในครอบครัว ครูที่โรงเรียน และสังคม เราจะเดินฟันฝ่าไปด้วยกัน เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา ให้คงอยู่ตลอดไป
วันนั้นก็เหมือนกันเป็นวันที่บอกว่าได้เวลาแล้วก็จะเริ่มทำงานด้านวิจัยที่รอคอยมาอย่างเนิ่นนาน เพราะวันนี้ฟังบรรยายเรื่องการทำaction researh ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงพัฒนา ในทัศนะของตัวเองแล้ว ชอบเพราะทำแล้วได้พัฒนาสังคมไปด้วย
และพรุ่งนี้ก็เป็นวันดี ๆ อีกวันหนึ่งที่ตัวเองได้มีโอกาสเจอกับท่านนายแพทย์โกมาตร์ที่จะมาร่วมจัดการเรียนการสอนแนวใหม่ให้กับอาจารย์คณะทันตแพทยศาสตร์
มาถึงจุดนี้ก็คิดว่า ในโลกมี ไม่มีอะไรแน่นอน เป็นสัจธรรมที่สำคัญแน่แท้จริง ๆ บนเส้นทางที่ได้ถามหามาประมาณ 5-6 ปี เพิ่งมาชัดมากขึ้นเมื่อเดือนนี้ พอรู้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงเราเป็นเช่นไร เราควรจะเขียนโลกใบใหม่ของเราไปในทางทิศไหน ในช่วงเวลาใด คงดูที่ความเหมาะสมและประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ขอบอกว่างานกระบวนกรเป็นงานที่ท้าทายและสร้างสรรค์ได้ดีมาก แต่สุดท้ายก็ขอบอกว่า ขอเป็นกระบวนกรน้อย ๆ ที่ทำงานอยู่ในวงของครอบครัวเล็ก ๆ อยู่กับลูก ๆ เฝ้าดูการเจริญเติบโตของโลก ผู้คน ในโลกใบเล็กให้เข้มแข็งซะก่อน เพราะว่าโลกใบใหญ่จะเข้มแข็งได้ก็เพราะโลกใบเล็ก และโลกภายในของคนในโลกใบเล็กก็คือสิ่งสะท้อนถึงความเป็นไปและลักษณะของโลกใบใหญ่ ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ขอเป็นสายใยที่จะเชื่อมโยงระหว่างโลกใบเล็กเพื่อสร้างสรรค์พลังของสังคมให้เข้มแข็งไปด้วยกัน ขอบอกกับทุกท่านที่อาศัยอยู่ใบนโลกใบนี้ว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอพวกเราทุกคนจงอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเมตตากรุณา แล้วจะพบว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามและน่าอยู่จริง ลองดูซิคะ ทุกอย่างเรียนรู้ได้ชัดแจ้งผ่านการปฏิบัติจริงเท่านั้น