เมื่อคราวที่แล้วเราได้ชมปราสาทพนมบาเค็งและพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเช้าวันนี้จะได้ไปเยือนพนมกุเลน อย่างที่เคยบอกแล้วพนมแปลว่าภูเขา ส่วนกุเลน คือลิ้นจี่ป่า รวมแล้วแปลว่าภูเขาลิ้นจี่ป่า รถพาเราขึ้นเขาไปพักใหญ่ เป็นภูเขาสูง ความสำคัญของพนมกุเลนก็คือ หินที่เอาไปสร้างปราสาทหินทั้งหลายนั้นก็เอาไปจากภูเขานี้แหละ คิดดูแล้วกันสมัยโบราณต้องเอาช้าง ม้า กำลังคน มาชักลากลงภูเขาไปสร้างปราสาทที่ด้านล่าง ซึ่งปราสาทบางแห่งก็อยู่ไกลมาก ขนาดปัจจุบันนั่งรถยนต์ไปยังใช้เวลาหลายชั่วโมง นับว่าเป็นงานช้างอันน่ามหัศจรรย์จริงๆ
เดิมพนมกุเลนมีชื่อในสมัยโบราณว่า มเหนทรบรรพต เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำเสียมเรียบ แต่จุดเด่นของพนมกุเลนคือ ตรงส่วนหนึ่งของภูเขาที่สายน้ำนี้ไหลผ่านได้มีการแกะสลักศิวลึงค์อยู่ใต้น้ำ เป็นพันๆ อัน แต่ศิวลึงค์นี้ไม่ได้เป็นเสาสูง อยู่บนฐานสี่เหลี่ยมแบบในปราสาท แต่เขาดัดแปลงให้เป็นรูปครึ่งทรงกลมอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยม มีหลายขนาดมากมาย ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ โดยขนาดใหญ่สุดมี เส้นผ่าศูนย์กลางของทรงกลมประมาณหนึ่งเมตร ต้องมาชมในหน้าแล้ง เดินย่ำน้ำไปดูได้ ถ้าหน้าน้ำระดับน้ำจะสูงจนมองไม่เห็น
การแกะสลักศิวลึงค์อยู่ใต้น้ำ มีขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่สอง ( ค.ศ. 790 – 835 ) จริงๆ เขาไม่ได้ไปสลักกันใต้น้ำหรอกแต่เป็นความชาญฉลาด และกุศลโลบายอันล้ำลึกของคนโบราณ เมื่อแกะสลักหินภูเขาเสร็จแล้วจึงผันให้ทางน้ำมาผ่านรูปสลักเหล่านี้ แล้วก็ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่มาของชื่อ สายน้ำแห่งพันศิวลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากศิวลึงค์แล้วยังมีรูปแกะสลักพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ แบบเดียวกับทับหลังของปราสาทพนมรุ้งในประเทศไทยเรานั่นแหละ ซึ่งก็มีมากมายหลายขนาดเช่นเดียวกัน ทั้งอยู่ริมตลิ่ง และใต้น้ำ ซึ่งสะท้อนแสงต้องหามุมมองดีๆ ก็จะเห็นก็สนุกดีในการชี้ชวนกันดู และอดรู้สึกทึ่งในศาสตร์และศิลป์ของขอมโบราณไม่ได้
จากนั้นรถพาไปยังยอดเขาไปที่วัดพระองค์ธม ซึ่งมีพระนอนแกะสลักจากหินก้อนใหญ่ที่อยู่บนยอดเขา องค์พระพุทธรูปทาสีทองบรอนซ์ ดูแล้วพระนอนบ้านเรางามกว่าเป็นไหนๆ จากนั้นไปยังน้ำตกพนมกุเลน ทานอาหารกล่อง คือ ข้าวกะเพราหมูกับไข่ดาว บนศาลาใหญ่ริมน้ำตกซึ่งถือเป็นระดับวีไอพี เพราะมีอยู่แค่สองศาลา บริษัททัวร์จองไว้ คนกัมพูชาก็เองมาเที่ยวกันมากมาย ปูเสื่อริมน้ำตกกันเต็มไปหมดน้ำตกก็ไม่ใหญ่มาก น้ำก็ไม่มากเพราะเป็นหน้าร้อน ดูแล้วรู้สึกเฉยๆ
ตามทางเดินที่ไปสู่น้ำตกนั้นมีร้านขายของที่ระลึกอยู่เรียงราย เป็นของป่าบ้าง รูปแกะสลักเป็นหินบ้าง ไม้บ้าง และก็มีกุเลน ผลไม้อันเป็นชื่อเรียกภูเขานี้ ลิ้นจี่ป่านี้ก็หน้าตาเหมือนลิ้นจี่ที่เรารู้จักกัน แต่ลูกเล็กกว่าและรสชาติคงไม่เหมือนเท่าไร เพราะเห็นบางคนชิมแล้วทำหน้าแบบพูดไม่ออก อะไรประมาณนั้น และก็ไม่ค่อยเห็นมีใครสนใจซื้อ แม้แต่คนกัมพูชาเอง
เป็นอันว่าครึ่งวันนี้เราได้รู้จักพนมกุเลนกันไปเต็มอิ่มแล้ว ช่วงบ่ายยังมีเที่ยวกันอีกจะพยายามมาเล่าให้ฟังต่อนะจ๊ะ
ศิวลึงค์ใต้น้ำที่พนมกุเลน
ศิวลึงค์ใต้น้ำขนาดเล็ก
ศิวลึงค์ใต้น้ำขนาดใหญ่ที่สุด
นารายณ์บรรทมสินธุ์ รูปนี้อยู่ริมตลิ่ง พระนารายณ์ทอด
พระองค์อยู่บนตัวพญานาค พระนางลักษมีประทับอยู่
ทางขวา
กุเลนป่าหรือลิ้นจี่ป่า
ของป่าที่วางขายบนพนมกุเลน
มาเยี่ยม...
ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดี...
โดยเฉพาะช่วงขอมเรืองอำนาจนะครับ
ขอบคุณครับ...
* สวัสดีค่ะ อ.umi
ขอบคุณค่ะที่แวะมาเยี่ยม
ดีใจค่ะที่ยังตามมาอ่าน.....
*สวัสดีค่ะ ดร. จันทวรรณ
ดีใจและแปลกใจ นึกไม่ถึงค่ะ ว่าบันทึกจะได้รับการอ่านจากคนสำคัญของ gotoknow เนื่องจากเรื่องที่เขียนก็ไม่ได้เกี่ยวกับ KM และก็ไม่มีสาระอะไร
ว่าจะเลิกเขียนแล้วเพราะไม่ค่อยถนัดเรื่องใช้คอมพิวเตอร์ ใช้เวลานานแต่ละบันทึก แต่ได้ comment แบบนี้ คงต้องกระเสือกกระสนเขียนอีกสักหน่อยเสียแล้วละมั้ง !
ขอบคุณมากๆ ค่ะ.....
*สวัสดีค่ะ คุณขจิต
ขอบคุณค่ะที่คนดังอย่างคุณขจิตแวะมาทักทาย
ขอทำความเข้าใจหน่อยนะคะ คือไม่ใช่คนเก่ง
ของ มอ. ค่ะ คนเก่งก็คือ หลายๆคนที่คุณพบ
ที่กทม. นั่นแหละค่ะ.....
สวัสดีค่ะ คุณ Mitochondria
ขอบคุณค่ะ ที่อุตส่าห์ปากหวา
เอ...จริงใจหรือไก่กากันแน่.....
อย่างไรก็ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ...
สวัสดีค่ะ คุณ Lucky..
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
จะพยายามเขียนจนจบทัวร์...หวังไว้!
ซัว ซะ ได คุณคนไร้กรอบ
ขอบคุณที่แวะมาทักทาย
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ.....
สวัสดีจ้ะ ผิน
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะจ๊ะ.....
อยากไปจังเลย..รบกวนแนะนำด้วยค่ะ ไปอย่างไร แบบไปเอง ไม่อยากไปกับทัวร์ค่ะ