ในการดำรงชีวิตของเราสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันได้ก็คือความเข้าใจ เคยมีบางคนบอกไว้ว่าหากเราไม่เข้าใจตัวเราแล้ว จะหวังให้เราไปเข้าใจคนอื่นหรือให้คนอื่นมาเข้าใจเรานั้นคงยาก
ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
ไม่มีวงการไหนที่จะไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน
ข้อเสียของความขัดแย้งเราคงได้พบเห็นกันบ่อยๆ
อาจเป็นเพียงมีปากเสียงกัน การทะเลาะเบาะแว้งที่รุนแรงขึ้น
หรืออาจถึงใช้กำลังทั้งเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว
ทั้งนอกและในสภา(ใต้หวัน) เป็นต้น
หากเราจะมองข้อดีของการคัดแย้งก็คงจะพอมีอยู่บ้าง นั่นคือ
การทำให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราว่าดีแล้ว
อีกคนอาจจะเห็นว่าไม่ดี หรือสิ่งที่เราว่าไม่ดี
อีกคนอาจจะเห็นว่าดีก็ได้
ในโรงพยาบาลเล็กๆแห่งหนึ่งก็มีความขัดแย้งกันเช่นเดียวกับที่อื่นๆ
เราอาจจะคิดว่าองค์กรเล็กๆความขัดแย้งไม่น่าจะมีอะไรมาก
แต่ถ้าเรื่องที่ไม่มากนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยนี่สิ
มันก็น่าสนใจเหมือนกัน เช่น
พยาบาลที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินขัดแย้งกับพยาบาลที่หอผู้ป่วยในเรื่องที่ว่าใครจะเป็นคนให้น้ำเกลือผู้ป่วย
งานจ่ายกลางขัดแย้งกับหน่วยงานต่างๆในเรื่องที่ใครควรจะเป็นคนล้างเครื่องมือ
เภสัชกรขัดแย้งกับพยาบาลในเรื่องที่ว่าใครจะเป็นคนตรวจดูวันหมดอายุของยาบนหอผู้ป่วย
ต่างคนก็ต่างมีเหตุเหตุผลของตน
แต่เผอิญว่ามันไม่ใช่เหตุผลเดียวกันก็เท่านั้นเอง
ในบางครั้งความขัดแย้งก็ได้ข้อสรุป บางครั้งก็ไม่ได้
ซึ่งก็ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ความเป็นตัวตนของแต่ละฝ่าย
การเปิดใจยอมรับฟัง ความรู้ในเรื่องที่ขัดแย้ง
หรือแม้แต่การควบคุมอารมณ์ก็มีผลมิใช่น้อย
ในท้ายที่สุดที่พวกเราทุกคนอยากได้ก็ คือ
ความเข้าใจกัน
ความเข้าใจกันมันก็มีจุดเริ่มต้นที่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นก็คือ
ตัวเราเอง การเข้าใจตัวเองก็เปรียบได้กับการรู้จักเป้าหมายของเรา
ว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะอะไร
ขยายใหญ่ขึ้นอีกนิดก็คือเป้าหมายของทีม ของระบบงาน
และท้ายที่สุดก็ขององค์กร
หากเราเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้งข้อขัดแย้งใดๆคงได้บทสรุปที่ดีของทั้งสองฝ่ายและสำคัญคือสามารถตอบสนองเป้าหมายได้ด้วย
เช่น หากเรามองถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง
พยาบาลคงได้ข้อสรุปว่าจะให้น้ำเกลือที่ใด
หากนึกถึงการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ
เราคงได้วิธีการที่เหมาะสมในการล้างเครื่องมือทั้งสองฝ่าย
และคงมีข้อสรุปที่ดีว่าใครจะเป็นผู้ตรวจดูวันหมดอายุของยา
หากเราคิดได้ว่าเป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้มีการใช้ยาที่หมดอายุกับผู้ป่วย
ถึงแม้จะได้ข้อสรุปที่ได้ประโยชน์กันทั้งหมดแล้วปัญหาก็ยังตามมาอีกจนได้ นั่นคือการถ่ายทอดสื่อสารให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและเข้าใจตรงกัน ไม่ใช้รู้เฉพาะหัวหน้าเท่านั้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่อยากให้ข้อสรุปใดๆเป็นเอกสาร A4 แบบทางการซึ่งดูแล้วน่าเบื่อ สมุดบันทึก “แล้วเราก็เข้าใจกัน” ก็ได้บังเกืดขึ้นในโรงพยาลแห่งนี้ ด้วยรูปแบบที่สวยงามน่าอ่าน เนื้อหาภายในกระชับ และทันสมัย ทำให้ทุกหน่วยงานสามารถสื่อสารในเรื่องที่ตนไปทำความเข้าใจหรือข้อตกลงกับหน่วยงานอื่นๆไว้ ให้กับเจ้าหน้าที่ในฝ่ายอย่างง่ายดาย ซึ่งหากมองแล้วความคิดดังกล่าวมิใช่เพียงแค่ต้องการจะสื่อสารเท่านั้น แต่แฝงไปด้วยกุศโลบายที่สำคัญ นั่นคือ ไม่ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น ทุกเรื่องต้องจบลงที่ “แล้วเราก็เข้าใจกัน” และความเข้าใจดังกล่าวก็เป็นสิ่งสวยงามเสียด้วย
หากวันนี้คุณมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ลองเอาแนวคิดจากโรงพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ไปใช้สิคะ แล้วคุณจะพบว่า “แล้วเราก็เข้าใจกัน” มันสวยงามอย่างไรไม่มีความเห็น