ข้อเขียนวันนี้ เขียนมาจากการเขียนเพื่อพบนักศึกษาทุกวันพุธ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับสังคม ศิลปะและวัฒนธรรมครับ
เรื่องแรกระยะนี้ คงไม่พ้นเรื่องงานมหกรรมพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ครูบอกแล้วว่า คงมีหลายด้าน ถ้ามองในมิติของรายได้ เศรษฐกิจที่ได้รับ โดยภาพรวมน่าจะดี แต่ชาวบ้านร้านตลาดของคนเชียงใหม่ คงไม่ได้อะไรสักเท่าไร(บริเวณงาน) เพราะผู้ได้รับสัมปทาน ล้วนแต่เป็นเอกชนรับจ้าง ผู้รับเหมาแทบทั้งสิ้น แต่ธุรกิจการท่องเที่ยว การโรงแรมในเชียงใหม่คงมีรายได้เพิ่มกันอย่างถ้วนทั่ว
แต่มองในมิติของคุณธรรมแล้ว โรงแรมหลายแห่ง เอาเปรียบผู้บริโภคมาก โดยใช้เหตุผลว่าเป็นช่วง High Season จึงโก่งราคาขึ้นกันแทบทุกแห่ง ดูไปอีกทีก็เป็นการยอมรับกันง่าย ๆ ในสังคมไทย
และผลกลกระทบโดยตรงให้เห็นอย่างชัดเจนคือ ปัญหาการจราจรรถติดไปทั้งเมืองครับ ยิ่งมีอุบัติเหตุขึ้นอีก ยิ่งทำให้การจราจรเป็นอัมพาตไปทั้งเมือง...แล้วต่อไปก็จะเป็นเรื่องขยะ อากาศ โรคที่อาจจะเกิดจากเกสรของพันธุ์ไม้ สิ่งแวดล้อมอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้
แต่ส่วนที่ได้รับโดยตรงทางบวก ก็คือ มีอาจารย์และนักศึกษา จาก มร.ชม. ไปร่วมการแสดงบนเวที ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย และสร้าง ประสบการณ์ด้านวิชาชีพของนักศึกษาให้มีมากขึ้น และมีนักศึกษาหลายคนไปรับจ้างออกแบบตกแต่งในงานก็มีมาก
อีกเรื่อง ที่อยากจะเอามาเล่าให้นักศึกษาฟัง ครูได้ไปอ่านหนังสือของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนเรื่อง"พม่าเสียเมือง" ได้ข้อคิดในหลายเรื่อง ในเชิงประวัติศาสตร์ การปกครอง ตลอดถึงศิลปะ วัฒนธรรม
นักศึกษาคงทราบแล้วว่าไทยเราเสียเมือง เสียความเป็นเอกราช หรือเป็นเมืองขึ้นให้กับพม่าถึง๒ ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ.๒๑๑๒ เสียไป ๑๕ ปี ครั้งที่ ๒ เสียเมืองไป พ.ศ. ๒๓๑๐ การเสียเมืองในสมัยก่อน เรามีมูลเหตุหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญ คือเรื่องการแย่งชิงอำนาจในกรุงศรีอยุธยา ความแตกสามัคคีของคนในชาติ ทำให้พม่าเผาเมือง ขนเอาทรัพย์สมบัติไปมากมายมหาศาล ฆ่าคนไทย และกวาดต้อนผู้คนไปไว้เมืองพม่าหลายแสนคน
นอกจากเราสูญเสียความเป็นชาติแล้ว เราถูกทำลายทางศิลปะ วัฒนธรรมไปมากมาย คนไทยได้รับผลกระทบกระเทือนทั้งวัตถุและถูกย่ำยีทางจิตใจ(ของคนสมัยนั้น สมัยนี้อาจจะมีคนที่ยังช้ำใจอยู่อาจจะมีมาก)
มีเกร็ดความเชื่อของพระเจ้ามินดุง ประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๕ ตรงกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวครองราชย์ ในเรื่องการสร้างประตูเมือง ที่เชื่อโหรพราหมณ์ถวายรายงานว่า การรักษาบ้านเมืองและพระราชวังเมืองมัณฑเลไว้ได้นั้น ต้องสร้างกำแพงล้อมรอบ และสร้างประตูเมืองในแต่ละด้านสามประตู รวมทั้งหมด ๑๒ ประตู และต้องฝังอาถรรพ์ด้วยคนเป็น ๆ ประตูละ ๓ คน รวมทั้งหมด ๓๒ คน โดยเอาคนเป็น ๆ ไปลงหลุมแล้วเอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป แล้วคนที่จะลงหลุมถูกผังนั้นต้องไม่ใช่นักโทษประหาร ทุกคนต้องเป็นคนฐานะดี ถูกยกย่องในสังคมมีทั้งชาย หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็ก และต้องเกิดตามวัน เวลาที่โหรพราหมณ์กำหนด ลูกเมียญาติพี่น้องที่อยู่ ได้รับรางวัลพระราชทานรางวัลไป
เป็นความเชื่อที่เรานึกถึงภาพจากเหตุการณ์เอาคนเป็นลงหลุมแล้ว บอกได้คำเดียว..โคตรโหด หรือมหาโหดมาก หลังจากนั้นไม่นานพม่าก็เสียเมืองให้กับอังกฤษในสมัยพระเจ่าสีป่อ โอรสของพระเจ้ามินดุง
ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องของกรรม เพราะพม่า(สมัยก่อน) ทำกับคนไทยมากมาย พอถูกยึดไปเป็นเมืองขึ้นของรัฐบาลอังกฤษ ดูเหมือนว่าท่านจะสมน้ำหน้า ครูก็เห็นด้วยครับ เราถูกกดขี่ ย่ำยีมากมาย เสียความอิสระเสรี เสียความเป็นเมือง ความเป็นไทยไปกว่า ๒๐๐ ปี
จบครับ...พุธนี้จบด้วยความรักเมืองไทย...ไม่อยากเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในสังคมไทย และอยากเห็นนักศึกษาเป็นคนดี เป็นกำลังแห่งคุณภาพสร้างชาติในอนาคตครับ
และขอคารวะ แด่ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์อย่างสุดซึ้ง
อ.ศักราช ฟ้าขาว
สวัสดีค่ะอาจารย์ศักราช
เอ! สงสัยว่าอาจารย์เป็นท่านเดียวกับอาจารย์ที่มากับอาจารย์พิชัยในงานมหกรรมการจัดการความรู้หรือเปล่าค่ะ ถ้ารูปถ่ายใหญ่กว่านี่หน่อย ดิฉันคงจำอาจารย์ได้แน่นอนค่ะ :)
อย่างไรก็ยินดีที่อาจารย์เข้ามาเป็นสมาชิก GotoKnow ค่ะ
จันทวรรณ