8 พฤศจิกายน 2549 การแบ่งปันวันนี้นับเป็นวันที่โชคดีมากที่อาจารย์หมอปารมีแวะมาเยี่ยมที่ห้องทำงานมาพูดคุยเกี่ยวกับกิจกรรม “สุนทรียสนทนา” หรือผลพวงจากการอบรมที่สวยสายน้ำ “การสื่อสารที่กรุณา เพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม” อาจารย์เล่าให้ฟังว่า พี่มาริสามาเล่ากิจกรรมให้ฟังอย่างมีความสุข และอยากจะนำมาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานซึ่งอาจจะไม่ใช่การอบรมอย่างเต็มรูปแบบ อาจจะเป็นเสี้ยวส่วนที่มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานประจำวัน ข้าพเจ้าพยายามจะรวบรวมความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกผ่านความรู้สึกที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกับอาจารย์ว่า อย่างแรกที่นำมาใช้ได้คือ “ทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง” ซึ่งนำมาใช้ในการประชุมพูดคุยในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ผ่อนคลาย ได้สาระ และมีความสุข อาจารย์ก็เชื้อเชิญให้ลองไปพูดคุยกับแกนนำของภาควิชาสักครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะใช้ห้องประชุมโต๊ะกลมที่มีอยู่ได้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสะกิดใจขึ้นมานิดหนึ่งว่า สุนทรียสนทนาจำเป็นต้องนั่งพื้นด้วยหรือคะ ? มันช่วยอะไรหรือเปล่า ? หรือเป็นแค่รูปแบบเดิม ๆ อีกเหมือนกันหรือเปล่า ? เราติดกับอะไรอีกหรือเปล่า ? หรืออาจจะผ่อนคลายต่างกันมั้ง ? ข้าพเจ้าบอกกับอาจารย์ให้สมัครจัดตั้ง COP สุนทรียสนทนากับกรรมการ KM ไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะเริ่มดำเนินการหลังจัดอบรมเสร็จ อาจารย์ก็เสนอว่าน่าจะนัดพบปะพูดคุยกันเพื่อให้เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ จริง ๆ แล้ว ข้าพเจ้าเคยตั้งใจจะนำ “สุนทรียสนทนา” มาใช้เป็นเครื่องมือของกิจกรรม KM ของคณะ ที่ผ่านมาชาวคณะแพทย์ได้ยินได้ฟังเรื่องสุนทรียสนทนา แต่อยู่บนพื้นฐานของ concept มากกว่าการปฏิบัติให้อยู่ในเนื้อในหนังของทุกคนในองค์กร จากประสบการณ์การฝึกฝนสุนทรียสนทนาทุกครั้ง สิ่งที่เกิดคือ “ปิติสุข” แม้จะปนคราบน้ำตา แต่เป็นน้ำตาแห่งปิติสุข ทำให้เกิดความรับความเข้าใจของคนในองค์กรมากขึ้น และดูเหมือนจะค่อนข้าง “ยั่งยืน” หากปฏิบัติเป็นนิจ คล้าย ๆ กับเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่ง เราจะอยากเจอกันมากขึ้นแม้จะยากยิ่งนัก เราก็จะพยายาม นี่คือ “เสน่ห์ของสุนทรียสนทนา” เป็นความบังเอิญที่ไม่บังเอิญอีกนั่นหละ ข้าพเจ้าคงไม่มีพลังที่จะไปผลักดันอะไรให้เกิดขึ้น จักรวาลเลยจัดสรรอาจารย์ปารมีมาช่วยเพิ่มพลังให้ข้าพเจ้าได้ใช้พลังที่มีอยู่ขับเคลื่อนต่อ ข้าพเจ้าก็บอกว่าด้วยความขอบคุณและยินดีรับใช้หากเป็น
ความต้องการของชาวคณะแพทย์ จริง ๆ ข้าพเจ้าจะละวางกิจกรรมพวกนี้เพื่อขอเวลาให้กับตัวเองเพื่อไปทำงานวิจัยงานทันตสุขภาพ แต่ว่าหากทุกคนต้องการก็ยินดีรับใช้ เพราะเชื่อมั่นว่าชาวคณะแพทย์ทุกท่านเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ เพียงแค่พวกเราได้หล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน เราก็เติบโตไปด้วยกันได้อย่างมีความสุข
อีกก้าวหนึ่งที่สำคัญไม่น้อย คือ อาจารย์บอกว่าอยากให้เขียนลงไปใน blog ก็พยายามแนะนำช่วยพิมพ์ให้ข้าพเจ้าได้สมัครลงมาใน blog เพื่อเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เป็น tacit knowledge ของข้าพเจ้า เพื่อจะได้เรียนรู้ร่วมกัน ข้าพเจ้ามีบทความฉบับนี้ออกมาเป็นปฐมฤกษ์ ด้วยความขอบพระคุณอาจารย์ปารมีเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะด้วยรัก หมอหลอง