ความคิดในการเขียนนี้เกิดจากการเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศของกรุงเทพ ตอนเข้าร่วมประชุมการจัดการความรู้ที่ศูนย์ไบเทค บางนา
ผมได้เห็นผลการพัฒนาทั้งแนวความคิด วัตถุ โครงสร้าง ตึก อาคาร และชุมชนต่างๆมากมาย มีรถยนต์วิ่งบ้างจอดบ้าง เต็มเมือง ผมก็เลยคิดต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้มาจากไหน เราเอาอะไรไปแลกมา เราเสียอะไรไปบ้าง พอได้มาแล้วเราใช้คุ้มค่าหรือเปล่า ใช้เสร็จแล้วจะเอาไปไหนต่อ แล้วสรุปว่าใครได้ใครเสีย เราจะทำอย่างนี้ต่อไปได้อีกนานไหม แต่โดยรวมเราดูเหมือนจะชื่นชมกับความสะดวกที่เราได้รับ โดยอาจลืมคิดว่าเราได้เสียอะไรไป
มองมุมนี้แล้ว ผมเลยนึกต่อไปถึงข่าวในอดีตที่มีคนเข้าไปสั่งอาหารในภัตตาคารโดยไม่ดูราคาอาหาร (จงใจหรือไม่ก็แล้วแต่ หรือ อาจคิดว่าทุกร้านราคาเท่ากันหมดก็ได้ เลยไม่ต้องถาม) แต่พอรับประทานเสร็จ ทางร้านเขาคิดเงินที่ต้องจ่ายเป็นหมื่นบาท ก็ไม่มีเงินจ่าย ต้องเป็นคดีความกันไป
ตอนนี้ สังคมไทย รวมทั้งสังคมโลก เรากำลังสนุกกับการบริโภค โดยมักลืมดูว่าสิ่งที่เรากำลังบริโภคอยู่นั้น ต้นทุนแต่ละอย่าง แต่ละด้านเป็นเท่าไหร่ โดยรวมเป็นเท่าไหร่ ควรสั่งมาใช้หรือไม่ควรใช้ ถึงเวลาจ่ายใครจะเป็นคนจ่าย หรือตั้งใจจะกินหมดร้านแล้วก็ชักดาบแบบหนังญี่ปุ่น กันหรืออย่างไร มีคนบางกลุ่มพยายามสะกิดเตือน ก็ถูกต่อว่า ว่าเป็นพวกขัดขวางการพัฒนา
ผมคิดว่า เราไม่จำเป็นต้องหลับหูหลับตาวิ่งตามก้นใครในโลกนี้ ซึ่ง ดร. องอาจก็บรรยายไว้แล้วว่า แม้การคิดออกแบบยานที่จะไปลงดาวอังคารยังใช้ความรู้จากการนั่งสมาธิ ใช้แบบฝรั่งไม่สำเร็จ
การพัฒนาทุกระบบปัจจุบัน ได้ใช้ต้นทุนทางธรรมชาติ สังคม สิ่งแวดล้อม และความเป็นมนุษย์ไปมากมาย นักบริโภคทั้งหลายเคยคิดไหมว่า เราใช้ไปเท่าไหร่แล้ว เหลืออยู่เท่าไหร่ และที่สำคัญ ใครจะเป็นคนจ่ายค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
ผมเข้าใจและยอมรับว่าเหรียญต้องมีสองด้านเสมอ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ทำให้เหรียญสองด้านให้สวยงามเท่าๆกัน อย่างสมดุล เช่น ด้านหนึ่งเป็นสังคมที่พัฒนา อีกด้านหนึ่งเป็นทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ถูกใช้ไป หรือเหรียญที่ด้านหนึ่งเป็นความเจริญทางวัตถุ อีกด้านหนึ่งเป็นความเจริญทางจิตใจ และโดยเฉพาะคู่เอกที่อยู่ในเหรียญที่ด้านหนึ่งเป็นการพัฒนาให้ดีขึ้น อีกด้านหนึ่งที่มีการทำลายให้เสื่อมสลายไป
ถ้าเหรียญสมดุลกันในทางที่ดี ก็น่าจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างยั่งยืน แต่ถ้ากินแบบไม่คิดเงินและไม่จ่ายไปเรื่อยๆ เราจะอยู่ได้อย่างไร วันหนึ่งลูกหลานเราก็ต้องมาจ่ายอยู่ดี หรือว่าเราจะเก็บความทุกข์ยากไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานเรา ตอนนี้ขอเสวยสุขให้เต็มที่เสียก่อน ถึงวันนั้นลูกหลานเราจะพูดถึงเราว่าอย่างไร
การบริโภคเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การจัดการบริโภคที่เหมาะสม ไม่ว่าสำหรับตัวเองหรือสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทำให้การบริโภคได้ยาวนาน
สังคมเราพัฒนาวัตถุไปมาก
ความเป็นวัฒนธรรมที่เป็นไทยเริ่มหมดลงไป
สิ่งแวดล้อมก็ถูกทำลายมากยิ่งขึ้นเพราะขาดความ
สำนึกที่ดีของการเป็นคนไทย ดีใจกับท่านดร.แสวง
ครับที่ช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นเสาหลักของบ้านเมืองครับ
ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ
ผมหวังว่าเสียงเราจะดังขึ้นเรื่อยจนพวกหูตึงได้ยิน แต่ไม่หวังจะให้พวกหูหนวกได้ยินหรอก เพราะมีทั้งหนวกจริง และหนวกปลอม
ผมอยากเห็นการประเมินผลกระทบทำอย่างเป็นจริงครบถ้วน ไม่ใช่ทำแบบฉาบฉวย และสั่งสมปัญหาไปไว้ให้ลูกหลานแก้ไข
พวกนี้อย่างมากก็ฉลาดเท่าหมาเฝ้าบ้านให้เขานั้นแหละครับ