กระบวนการสื่อสารชุมชนท้องถิ่น ในความหมายที่รับรู้และเข้าใจกันโดยทั่วไป มุ่งเน้นเข้าใจในมิติของการสื่อสาร สาระหนึ่งสาระใด สู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นมวลชนพื้นฐานหรือชุมชนฐานราก ในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่น โดยใช้ช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม เป็นสำคัญ
การพิจารณากระบวนการสื่อสารชุมชนท้องถิ่นในมิติของการสื่อสารหรือสื่อความในวงจำกัดของความหมายเช่นนั้น อาจมิใช่เรื่องผิดถูกแต่ประการใด เพียงแต่เป็นข้อสังเกตุว่าในความหมายดังกล่าวนั้นมีความครอบคลุมกระบวนการสื่อสารชุมชนท้องถิ่นอย่างครบถ้วนเพียงใดหรือไม่
ในมิติของการสื่อสารที่มีความหมายครอบคลุมถึงการเข้าถึง(Access) และใช้ประโยชน์ ของผู้ด้อยโอกาส หรือผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมในกระบวนการสื่อสารสาธารณะนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่า
"Information is power " คือวลีที่กล่าวถึงความสลักสำคัญของการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูล ข่าวสาร ในยุคที่สามของโลก(ยุคคลื่นสารสนเทศ หรือยุคโลกาภิวัฒน์ )
หากจะอธิบายขยายความได้ว่า..."ผู้ใดยึดกุม ครอบครอง และสามารถ ใช้ประโยชน์ ของข่าวสารข้อมูล ได้ ผู้นั้นย่อมสามารถเข้าถึง ยึดกุม และครอบครองอำนาจที่แท้จริง.."
กล่าวสำหรับข้อเท็จจริงของสังคมโลกและสังคมไทยที่ผ่านมา ชนชั้นผู้ยากไร้ มวลชนอันไพศาล คนส่วนใหญ่ในประเทศ ยังมิเคยได้มีโอกาสกล้ำกรายหรือแม้เฉียดเข้าใกล้ อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้เลย
ผู้ยากไร้ มวลชน ชุมชนฐานราก ล้วนเป็นได้เพียง "กลุ่มเป้าหมาย" ในกระบวนการสื่อสารสาธารณะ หรือ แม้กระบวนการสื่อสารชุมชนกระทำกันอยู่ เป็นได้เพียง "ผู้รับสาร" ซึ่งหากแปลอีกทางหนึ่งย่อมหมายถึงเป็นได้เพียงแค่ "ผู้ถูกกระทำ" ในทางการสื่อสารเท่านั้น...
หากพิจารณาในมิติของระบอบทุนนิยม พวกเขาเป็นได้เพียง "ตลาด" หรือ "ผู้บริโภค" หรือในสถานะของ "สินค้าที่มีชีวิต" ของระบอบทุนนิยมเท่านั้น...
วันหนึ่งใด ที่พวกเขามีโอกาสพลิกสถานะ จาก "ผู้รับสาร" มาเป็น "ผู้ส่งสาร" ... จาก ผู้ฟัง ที่ต้องฟัง...มาเป็น "ผู้พูด ในสิ่งที่เขาอยากจะพูด.." หรือ จากกลุ่มเป้าหมาย มาเป็นผู้ประกอบการ ผู้ดำเนินการ ผู้กระทำการ ในการสื่อสารสาธารณะอย่างจริงจังเมื่อใด..
นั่นย่อมหมายถึง โอกาส ในการพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน โดยใช้กระบวนการ "เข้าถึง และใช้ประโยชน์" กระบวนการสื่อสารสาธารณะ อันนำไปสู่มิติที่มีนัยสำคัญตามความหมายของ "Information Is Power" อย่างแท้จริง...
เป็นการปฏิวัติสังคม ด้วยกระบวนการสื่อสาร โดยมิต้องหลั่งเลือดโลมดินเช่นการปฏิวัติที่ผ่านๆมา...
นับเป็นความหวังที่ท้าทายนักปฏิบัติการสื่อสารชุมชนท้องถิ่นทั้งหลายทั้งปวงในขบวนการขับเคลื่อนทางสังคม
เป็นความหวังในการปลดปล่อยพลังทางสังคมของชุมชนท้องถิ่นที่เป็นฐานรากของสังคมไทยครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน.
ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีการจัดเวทีสาธารณะเรื่อง “วิทยุโทรทัศน์สาธารณะ : แนวรบทางปัญญาของประชาชน” โดยศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สื่อเพื่อการสร้างปัญญาของชาติบทบาทใคร? อย่างไร?” ตอนหนึ่งว่า สื่อสาธารณะถือเป็นเครื่องมือของประชาธิปไตยอย่างหนึ่งโดยต้องปลอดจากอำนาจรัฐและอำนาจทุนถ้าเราทำให้เกิดได้จริงสื่อสาธารณะจะเป็นการสื่อสารของประชาชนอย่างแท้จริงช่วยสร้างความรู้ที่ชัดเจนแก่ประชาชนนำไปสู่การคลี่คลายความซับซ้อนของปัญหาให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ ทั้งนี้เคยมีการนำเสนอเรื่องยุทธการการสื่อสารให้กับนายกรัฐมนตรีได้รับทราบแต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลก็ยังเฉยอยู่จึงอยากให้ประชาชนออกมาช่วยกันผลักดันให้เกิดองค์กรสื่อสารสาธารณะโดยขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีการร่าง พ.ร.บ.องค์การแพร่ภาพและกระจายเสียงสาธารณะพ.ศ. ... ขึ้นมาแล้วแต่รัฐบาลยังไม่ผลักดันให้เกิดขึ้นซึ่งน่าแปลกใจว่าเราได้เตรียมทุกอย่างในเรื่องนี้ไว้พร้อมแล้ว รัฐบาลแค่เอาไปกลืนลงคอได้เลย แต่ทำไมรัฐบาลนี้จึงยังไม่ดำเนินการมีอาการที่เรียกว่า “กลืนไม่เป็น” ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลอื่น ๆ คงทำไปแล้วยกเว้นรัฐบาลทักษิณ |
แนวคิดสื่อชุมชนท้องถิ่นสมัย Sif (ประมาณปี 2543-2544)
ผล ริเริ่มก่อการ จัดตั้งเครือข่ายวิทยุเครือข่ายภาคประชาชน อีสาน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดเป็นผู้ก่อการ และคณะกรรมการ ทั้งยังคัดเลือก คณะทำงานกลาง 10 คน มอบหมายให้ยกร่าง โครงการวิทยุพลเมืองภาคอีสาน และ ประสานงานสหข่ายรายจังหวัด เพื่อสื่อสารข้อมูล สำรวจข้อมูล ความพร้อม รายจังหวัด
Ø จัดเวทีครั้งที่ 2ผลพวงทางความคิด
คำสรุป( Narrative Summary-NS.) |
ตัวบ่งชี้( Measurable Indicator –MI.) |
แหล่ง/วิธีพิสูจน์( Means of Verification-MOV.) |
เงื่อนไขสำคัญ( Important Assumtion ) |
G ( Goal )– องค์กรชุมชน และเครือข่ายองค์กรชุมชน รับรู้ เข้าใจ ตระหนัก ถึง ความสำคัญการดำเนินการด้านสื่อชุมชนอย่างเป็นกระบวนการ โดย การจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลข่าวสารชุมชน ( CINN) เพื่อสนบัสนุนกระบวนการชุมชนเข้มแข็ง |
¨ องค์กรชุมชน ประมาณ 500 องค์กร ¨เครือข่ายองค์กรชุมชน 100 เครือข่าย¨พื้นที่เป้าหมาย 50 จังหวัด¨สมาชิกผู้เข้าร่วมประมาณ 10,000คน |
n ผลการประเมินผลการดำเนินงานโครงการn ผลการวิจัยชุมชน/วิจัยเชิงปฎิบัติการn การประเมินผลโดยแหล่งทุน |
èได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะโครงการèเครือข่ายภาคี พันธมิตร และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ความสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะโครงการèคณะทำงานที่มีความเข้าใจ เป็นเอกภาพมีโอกาสทำงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะโครงการ |
P (Purpose)4สร้างกระบวนการเรียนรู้ แก่ ชุมชน องค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน 4สนับสนุน การดำเนินการสื่อชุมชน สื่อพื้นบ้าน สื่อสาธารณะเพื่อชุมชน สื่อสารสนเทศชุมชน4เชื่อมโยง จัดตั้งเครือข่าย CINN |
¨ ผลการประเมินผลการดำเนินงานโครงการ¨ผลการวิจัยชุมชน/วิจัยเชิงปฎิบัติการ¨เครือข่าย CINN และ ศูนย์เครือข่าย CINN จังหวัดเป้าหมาย 50 จังหวัด |
n สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน( พอช.), กองทุนชุมชน ( SIF ) , สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ( LDI. ) , สถาบันเพื่อการเรียนรู้ ประชาสังคม ( Civic Net ) ,คณะกรรมการปฎิรูปสื่อ ( คปส. )n องค์กรภาคีความร่วมมือ กรม ปชส.สทบ. , กศน. , ธกส. ฯลฯ |
è ใช้หลักสูตร / กระบวนการ / บุคลากร ที่มีความเข้าใจร่วม เป็นเอกภาพ และมีประสพการณ์ตรง อย่างต่อเนื่องตลอดระยะโครงการ |
O-Ø เกิดเครือข่ายระดับประเทศ CINNØ เกิดศูนย์เครือข่าย CINN ระดับจังหวัด 50 จังหวัดเกิด nodes CINN ระดับท้องถิ่น/ชุมชน อน่างน้อยประมาณ 500 แห่ง | ¨ เครือข่ายระดับประเทศ CINN¨ ศูนย์เครือข่าย CINN ระดับจังหวัด 50 จังหวัด¨ nodes CINN ระดับท้องถิ่น/ชุมชน อน่างน้อยประมาณ 500 แห่ง |
กระบวนการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมล้วนก็ เพื่อความอยู่ดีมีสุข(Well-being) ของผู้คนในชุมชน หรือสังคมโดยรวมทั้งสิ้น กระบวนการนี้จึง เป็นกระบวนการพัฒนา ที่มีมนุษย์หรือผู้คนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งมิอาจปฏิเสธปฎิสัมพันธ์หรือความเกี่ยวเนื่องของผู้คนทั้งสิ้นได้ จึงมีความเกี่ยวข้องอยู่กับกระบวนการสื่อสารสาธารณะ เพราะ กระบวนการสื่อสาร คือ พื้นฐานของกระบวนการทางสังคมทั้งมวล สำหรับมนุษย์แล้ว กระบวนการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาบุคคล ต่อการสร้างกลุ่มและการทำให้กลุ่มดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งหากพิจารณาโดยพื้นฐานแล้วยังเกี่ยวข้องกับสาระสำคัญในเชิงพฤติกรรมของมนุษย์ ที่มีการสื่อสารเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด Paul Watzlawick , Janet H. Beavin and Don D. Jackson (1967) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในทุกรูปแบบเป็นการสื่อสารทั้งสิ้น และไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าไม่ใช่พฤติกรรม มนุษย์จึงไม่สามารถที่จะไม่สื่อสาร
ดังนั้น การสื่อสารมวลชนมีอิทธิพลต่อสังคมมาก ได้สร้างรูปแบบใหม่ๆของกิจกรรมทางสังคมที่เน้นการใช้สัญลักษณ์ทางการสื่อสาร ช่วยให้คนมีความรู้ ควบคุมสถานภาพของคนในสังคมและ สื่อมวลชนมีบทบาทโดยตรงต่อการชี้นำความเป็นไปในสังคม เมื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารออกไปแล้ว ผู้รับสารจะซึมซับรับรู้ โดยไม่รู้ตัวยิ่งมีการผลิตซ้ำ ตอกย้ำอยู่เรื่อยๆสื่อที่ได้รับจะปรับมาเป็นทัศนคติ หรือ ค่านิยม ในการดำเนินชีวิตของคนในสังคมได้ การสื่อสารมวลชนมีประสิทธิภาพในการย้ำทัศนคติที่มีอยู่แล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอาจก่อให้เกิดความเสื่อมถอย หรือ ก่อให้เกิดการพัฒนาความคิด จิตใจและคุณภาพของความเป็นมนุษย์ ดังที่นักคิดและท่านผู้รู้หลายคนได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจ ไว้ดังเป็นที่ยอมรับกันดีว่าบทบาทของสื่อสารมวลชน มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาทางสังคมรวมทั้งการเอาชนะปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และสำคัญสุดในเฉพาะหน้านี้ ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนนั้น สื่อสารธารณะจึงสามารถแสดงบทบาทในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ก่อกระแสสังคม ในวงกว้างได้ทั้งในเชิงบวกและลบ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระ ที่สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกันอย่างไร
ด้านกระบวนการสื่อสารเป็นกระบวนการ 2 ทาง (two-way process) ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบอย่างน้อย 5 ประการ คือ ผู้ส่งสารหรือผู้เข้ารหัส(sender) ผู้รับสารหรือผู้ถอดรหัส (receiver) สาร (message) ช่องทางการสื่อสาร (channel) และ สภาพแวดล้อมของการสื่อสาร ( context / environment ) และ คำอธิบายอย่างง่ายก็คือ การสื่อสารมวลชนทั้งหลายประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 5 ประการ คือ 1) ผู้ส่งสาร ซึ่ง... 2) ส่งสารๆหนึ่ง... 3) โดยผ่าน ช่องทางๆหนึ่ง... 4) ถึง ผู้รับสาร กลุ่มหนึ่ง... 5) และ ทำให้เกิดผลบางอย่าง....สำหรับในอีกมุมมองหนึ่งของนักวิชาการไทย ศิริชัย ศิริกายะ และกาญจนา แก้วเทพ ได้อธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารมวลชนในเชิงประเด็น ได้แก่ สถาบันสื่อมวลชน กระบวนการสื่อสารมวลชน แนวคิดเกี่ยวกับมวลชน และ วัฒนธรรมมวลชน
ในส่วนของผู้ปฏิบัติซึ่งมีบทบาทสำคัญในวงการสื่อสารมวลชนไทย รุ่งมณี เมฆโสภณ กล่าวว่าชีวิตสาธารณะนั้นเปรียบเหมือนแก้วที่เป็นฝ้าและสกปรก งานของสื่อมวลชนคือ การทำแก้วสกปรกนั้นให้สะอาด ประเด็นสำคัญคือต้องรู้จริงและรับผิดชอบตลอดจนทำด้วยสำนึกของ และสังคมด้วย
คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์มติชนกล่าวว่า สื่อมวลชนควรนำเสนอเรื่องจริง ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน นำเสนอให้ถูกต้องเหมาะสมและเกิดผลกระทบในเชิงบวก ให้ประชาชนมีข้อมูลมากลั่นกรอง เปรียบเทียบ และตัดสินใจด้วยตัวเขา ไม่ใช่สื่อมวลชนเป็นผู้ตัดสินคุณสมหมาย ยังเน้นย้ำอีกว่า ควรเน้นปรัชญาในการสื่อสารทางเลือกให้เกิดแก่ชาวบ้านท้องถิ่น ให้มีศักยภาพการต่อรองกับคนในส่วนกลางให้มากขึ้น ต้องนำเสนอข่าวที่ฉีกออกไปจากส่วนกลาง นำเสนอข่าวเฉพาะในพื้นที่ ในปริมณฑลของเขามีกลุ่มผู้อ่านที่ชัดเจน การสร้างเวทีไปร่วมกับองค์กรต่างๆเพื่อให้เกิดการแพร่ขยายของข่าวสารออกไป บทบาทของสื่อมวลชน ต้องระบบความคิด วิธีการทำงานให้เป็นระบบก้าวเข้ามาหากลุ่มคนเล็กๆมากขึ้น เข้าหาชาวบ้านมากขึ้น หันมาสู่สิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระมีประโยชน์ต่อส่วนรวม
นักปฏิบัติการสื่อสารมวลชนไทยที่มีพื้นฐานงานในท้องถิ่น ภูมิภาค คือ ประสาน สุกใส บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์โฟกัสสงขลา กล่าวว่า บทบาทในเชิงประชาสังคม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อต้องเข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างสังคม เพราะสถานการณ์รอบด้านเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และเราไม่สามารถฝากความหวังทั้งหมดไว้ทีส่วนกลาง ซึ่งสื่อมวลชนก็มีโอกาสมากขึ้นเพราะการเติบโตขององค์กรทางสังคมต่างๆล้วนเป็นพันธมิตรกับสื่อมวลชนเพราะต่างมีบทบาทที่ต้องการสร้างสรรค์สังคม มีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาท้องถิ่น
วลักษณ์กมล เอี่ยมวิวัฒน์กิจ กล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจในบทบาทสื่อมวลชนกับ ท้องถิ่นว่า สื่อมวลชนจะต้องช่วยทำให้เกิดเวทีในการพูดคุยเพื่อให้เกิดความตื่นตัวในท้องถิ่น รวมทั้งทำให้เกิดเวทีร่วมคิด ร่วมทำประโยชน์ เพื่อให้มีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมซึ่งอาจเป็นธุรกิจชุมชน แล้วสื่อท้องถิ่นก็เข้าไปทำงานหยิบฉวยความสำเร็จของเขาออกมารายงานสู่สาธารณะ ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูข้อผิดพลาดของเขาด้วย เช่น มีการคอรัปชั่น หรือไม่ ซึ่งจะก่อให้เกิด “จิตวิญญาณท้องถิ่น” เพื่อร่วมดูแลท้องถิ่นของตนเอง
พัฒนาการของเครือข่ายอาสาสมัครนักสื่อสารชุมชนในพ.ศ.๒๕๕๑ ดูได้ในบล็อกล่าสุดชื่อ เครือข่ายอาสาสมัครนักสื่อสารชุมชน ; นวัตรกรรมกระบวนการสื่อสารชุมชนท้องถิ่น