ฉะนั้นการดำเนินการเจรจาจนไปถึงการลงนามนำประเทศไทยเข้าผูกพันในข้อตกลงเอฟทีเอจึงเป็นกระบวนการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ซึ่งไม่ใช่อำนาจเด็ดขาด ของฝ่ายบริหารที่จะดำเนินการได้เองโดยลำพัง ดังนั้นรัฐบาลจะต้องดำเนินการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และก่อนที่ฝ่ายบริหารจะไปลงนามนำประเทศเข้าผูกพันในข้อตกลงดังกล่าวก็จะต้องเสนอเรื่องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ดังนั้นจากประเด็นในส่วนนี้มีความเห็นว่า การทำเขตการค้าเสรีสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด คือการกระทำของรัฐในทางเศรษฐกิจที่ได้กระทำต่อเอกราช และอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่จะลดลง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในเรื่องการลดภาษีให้เหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นกระบวนการทำเขตการค้าเสรี คงถึงเวลาที่ทุกฝ่ายควรจะมาทบทวน และใช้สติปัญญาไตร่ตรองกัน ว่ามีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไม่เช่นการเดินตามแนวทางพหุภาคีนิยม ซึ่งการทำตามแนวทางทวิภาคีนิยมนี้ถูกต้องเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ เพราะอาจจะเกิดผลกระทบในอนาคตได้ ดังนั้นยังไม่สายเกินไปที่สังคมไทยจะต้องพิจารณาใคร่ครวญเรื่องนี้กันใหม่
ในส่วนเรื่องการค้าและการลงทุน โดยในลักษณะของกฎระเบียบการลงทุนจะมีอยู่ 3 ลักษณะใหญ่ คือ
1. กฎระเบียบสำหรับการเข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งไม่มีประเทศไหนเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้โดยเสรี โดยจะมีการออกกฎหมายหรือข้อบังคับ เช่น กฎหมายของสหรัฐฯจำกัดการที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในกิจการสื่อสารมวลชน สิ่งพิมพ์ และภาพยนตร์
2. กฎระเบียบสำหรับการลงทุนที่ได้เข้ามาในประเทศแล้ว โดยจะบังคับให้การลงทุนอยู่ในรูปของกิจการร่วมเสี่ยงภัย รวมทั้งการบังคับให้ดำเนินการบางอย่าง เช่น บังคับใช้วัสดุการผลิตที่มีในประเทศ
3. กฎระเบียบเพื่อจูงใจการลงทุน มีลักษณะเป็นการให้สิทธิด้านการลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนและลดภาระทางการเงินของนักลงทุน
ซึ่งขณะนี้สหรัฐกับไทยกำลังก้าวเข้าสู่เจรจาการจัดทำเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคี ซึ่งหากไทยยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในเรื่องการลงทุนภายใต้ข้อตกลงเอฟทีเอ ย่อมหมายถึงไทยยอมเปิดเสรีการลงทุน แก่สหรัฐโดยไม่มีเงื่อนไข โดยยินยอมลดทอนอำนาจอธิปไตยของรัฐในการกำกับการลงทุนในทุกสาขา สิ่งสำคัญที่รัฐบาลไทยจะต้องตระหนักก็คือ สหรัฐฯที่ไทยต้องการจะทำข้อตกลงเอฟทีเอด้วยนั้นมีความพยายามมาโดยตลอดที่จะสร้างกฎเกณฑ์ให้มีการลงทุนระหว่างประเทศอย่างเสรี ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ ก็มีท่าทีสนับสนุนสหรัฐฯ ในเรื่องนี้
การทำข้อตกลงเอฟทีเอ กับสหรัฐฯ ที่มีข้อตกลงด้านการลงทุนอาจหมายถึงการที่ไทยต้องยอมเปิดเสรีด้านการลงทุนให้กับทุกประเทศภายใต้ข้อตกลงพหุภาคีด้านการลงทุนที่จะถูกจัดทำขึ้นในอนาคต
ซึ่งประเทศไทยไม่มีสิทธิกำกับควบคุมต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ไม่อาจคัดกรองการลงทุนที่มีคุณภาพ ไม่อาจให้สิทธิพิเศษ หรือกำหนดมาตรการช่วยเหลือบริษัทหรือผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งรวมถึงเกษตรกร หรือผู้ผลิตรายเล็ก รายน้อยในประเทศอาจต้องเลิกหรือถูกควบกิจการโดยต่างชาติในที่สุด
โดยในเรื่องนี้ผู้เขียนได้ให้ความเห็นว่า การเจรจาเพื่อเปิดเสรีด้านการลงทุนกับสหรัฐฯ ประเทศไทยควรมีท่าที่ชัดเจนในเรื่องการลงทุน โดยจะต้องไม่ลดหย่อน หรือยอมรับกติกา หรือกฎเกณฑ์การลงทุนใด ๆ เกินเลยไปจากสิ่งที่เป็นอยู่ในสภาพปัจจุบัน มีต่อ.....(3)
ไม่มีความเห็น