ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2548 คอลัมน์ธรรมะใต้ธรรมาสน์ ของคุณไต้ ตามทาง ก็ชอบมากเลย ก็เลยยืมมาเขียนต่อครับ เขาเขียนไว้ส่วนหนึ่งจากเรื่องอย่าเพียงแต่คิด ต้องทำด้วย ว่า “คนดีแต่คิดไม่รู้จักทำเขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นหิ จิน.ตามยา โภคา โภคทรัพย์มิได้มีมาด้วยการคิดเอา อยากได้อะไร อยากเป็นอะไร อย่ามัวแต่คิด วาดภาพวางแผน ต้องลงมือทำทันที และทำอย่างต่อเนื่องด้วย” ก็เตือนใจไปได้เยอะ เวลาผมไปบรรยายที่ไหนมักจะพูดถึงคำพูดฝรั่ง 2 คำที่จำของเขามาไม่รู้ใครพูดไว้ก่อนก็คือคนในองค์กรมี 2 กลุ่มคือNATO กับ AFTA
NATO = No Action, Talk Only งานไม่ทำดีแต่พูด พวกนี้จะเก่งมาก พูดได้ทุกเรื่อง เสนอได้ทุกอย่าง แต่ไม่ทำ ชอบคิดหรือพูดให้คนอื่นทำ เวลาใครทำมาก็ติว่าไม่ใช่ ไม่ถูก ผิดหลักเกณฑ์ ผิดทฤษฎีอย่างนั้นอย่างนี้ มักอ้างว่าไปอ่านมาจากนั่นจากนี่ ไปฟังอบรมบรรยายมาอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาคอยตำหนิคนอื่น เรียกว่ารู้ดีทุกเรื่อง ยกเว้นงานของตนเอง แทนที่จะเอามาลองลงมือทำด้วยตนเองก่อนจะได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าใช้ได้ไหม ทำได้ไหม ยุ่งยากแค่ไหนในการทำ โดยในโรงพยาบาลจะมีตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป แต่พวกนี้ไม่ใช่ เป็นพวกเจ้าหน้าที่บริหารงานไปทั่ว ถ้ามีคนแบบนี้มากๆองค์การจะพัฒนายากและปั่นป่วน
AFTA = Action First, Talk After พวกนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างสรรค์งานให้แก่หน่วยงาน พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด อุตสาหะ อดทน ถ้าหน่วยงานไหนมีแบบนี้มากๆจะพัฒนาได้เร็ว และต้องกระตุ้นให้เขาเอาสิ่งที่ทำมาพูด มาบอก มาเล่าให้มากที่สุดเพราะจะได้ความรู้ฝังลึกที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรมาก
ผมเคยอ่านจากหนังสือพิมพ์มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของประเทศได้พูดไว้ว่า “คนคิดเก่ง พูดเก่งมีมากเหมือนขนวัว แต่คนทำเก่งมีน้อยเหมือนเขาวัว” เมืองไทยจึงมีนักพูดนักวิจารณ์เยอะ หลายๆเรื่องคนเป็นผู้ปฏิบัติจะรู้ว่าที่คิดออกมานั้น พูดแล้วดูเหมือนง่าย แต่เวลาปฏิบัติจริง ปัจจัยต่างๆเยอะมาก ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ ลองดูประโยคที่พูดง่ายๆ “ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรงก็ออกกำลังกายทุกวัน” แค่นี้กว่าจะออกกำลังกายได้ในหลายๆคนก็ยากไม่ใช่น้อย หรือสอนคนไข้เบาหวานว่า “ ป้า โรคเบาหวานนี่รักษาไม่ยากหรอก ป้ากินยาให้ครบ ตรงเวลาแล้วก็อย่ากินของที่มีน้ำตาลก็พอ” หมอพูดแป๊บเดียวแต่คนไข้นำไปปฏิบัติยากมาก เราลองอดอาหารที่มีน้ำตาลดูสัก 1-2 วันก็จะรู้เลยว่ามันยาก
นอกจากชอบคิด ไม่ชอบทำ แล้วต้องดูอีกอย่างคือได้ทำแต่ไม่ได้ผล (แต่บางที่ได้ภาพแต่ไม่ได้ผลด้วยยิ่งไปกันใหญ่เพราะไม่ได้ทำจริงแต่มีรูปมารายงานได้)เป็นประเภทชอบทำโครงการ ทำอะไรมากมาย มีงบประมาณเท่าไหร่ใช้ให้หมด รายงานความสำเร็จโครงการว่าได้อย่างนั้น ได้อย่างนี้ แต่จริงๆแล้วชาวบ้านเหมือนเดิม เช่นขุดสระเป็น 100 ลูก แต่ชาวบ้านไม่มีน้ำใช้ อบรมมากมายแต่ชาวบ้านยังไม่เข้าใจ หรือเปิดตลาดสร้างตลาดอย่างดีแต่ไม่มีคนขายเพราะไม่มีใครซื้อกลายเป็นที่พักริมทางไปหรือที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์คือสร้างสนามกีฬาอย่างดีแต่เอาไว้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายเพราะไม่มีใครไปใช้ อย่างนี้ก็คิดดี ได้ทำตามที่คิด แต่ไม่ได้ผลอย่างแท้จริง
สมัยเป็นนักเรียนผมได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร เนื้อหาเป็นทำนองทำให้คนสู้ชีวิต อุตสาหะบากบั่นในทางที่ถูกที่ควร ไม่คิดรวยทางลัด ไม่คดโกงบ้านเมือง หมั่นเรียนรู้และพัฒนาตนเอง มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ผมจดมาไว้เตือนใจตนเองและผมคิดว่านี่คือหลักการสำคัญของKnowledge sharing คำพูดที่ว่า “คนเราต้องลงมือทดลองทำด้วยตนเองได้ก่อนนะเธอ ถึงจะไปสอนคนอื่นเขาได้” ดังนั้นแค่ไปอ่านมา ไปฟังเขามาแล้วเอามาบอกต่อ มาสอนต่อ เอามาสั่งให้คนอื่นทำเลย ยังไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้ที่แท้จริงเพราะยังไม่ได้ดึงเอาความรู้ฝังลึกออกมาดิฉันเห็นด้วยคะว่า “คนเราต้องลงมือทดลองทำด้วยตนเองได้ก่อนนะเธอ ถึงจะไปสอนคนอื่นเขาได้”
ยิ่งในปัจจุบันนี้ นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาจะขวนขวายหาความรู้ที่ practical เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์จากอาจารย์ผู้สอน หากอาจารย์มัวเอาแต่อ่านจากตำราอย่างเดียว ไม่เคยปฏิบัติจริงเลย จะทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งหากต้องไปสอนนักศึกษาที่อายุมากกว่าให้คิดตามในสิ่งที่เราพูด อาจารย์จำเป็นต้องมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ คะ เพื่อให้เกิด critical thinking ขึ้นในชั้นเรียนคะ
ขอหยิบยืมไป NATO กับ AFTA เป็นมุขให้นักศึกษาฟังหน่อยนะคะ :)