นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้รับความเห็นชอบจาก รมว.คลัง ให้ประกาศปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการบัตรเครดิตเพิ่มอีก 2% ต่อปี หรือจาก 18% ต่อปี เป็น 20% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไป ตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นกว่าช่วงประกาศเดิมบังคับใช้ 1.25% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) เฉลี่ยสูงกว่าเดิม 5.75% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนเฉลี่ยสูงขึ้น 1% อย่างไรก็ตาม ธปท. ก็คำนึงถึงความเป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย โดยประกาศนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้ เป็นต้นไปสำหรับลูกค้าที่มีหนี้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือจากการเบิกถอนเงินสด ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จะได้รับความคุ้มครองตามประกาศเดิม คือผู้ประกอบการจะเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมได้ไม่เกิน 18% ต่อปี ต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 50 เพื่อให้ประชาชนมีเวลาปรับตัว 7 เดือนและ ส่วนหนึ่งยังเป็นการบรรเทาภาระหนี้ของผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่ 1 เม.ย. 47 ที่ต้องเพิ่มการชำระขั้นต่ำในแต่ละงวด จาก 5% เป็น 10% ของยอดหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 50 ด้วย และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 50 เป็นต้นไป ไม่ว่าหนี้ ที่เกิดขึ้นก่อนหรือตั้งแต่วันที่ประกาศที่แก้ไขมีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการคิดดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมในอัตราใหม่ได้ ทั้งนี้ ธปท.ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังการก่อหนี้บัตรเครดิต เพราะผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้โดยแจ้ง ลูกค้าทราบล่วงหน้า 1 เดือนนอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตด้วย โดยให้ผู้ประกอบการพิจารณาจากการมีเงินฝาก หรือการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ องค์การของรัฐ โดยจะต้องมีเงินฝากเฉลี่ย 6 เดือนก่อนวันขอบัตรเครดิต 5 แสนบาทขึ้นไป หรือมีตราสารหนี้เฉลี่ย 6 เดือนมูลค่า 1 ล้านบาทขึ้นไป และจะ ได้รับวงเงินบัตรเครดิต 10% ของมูลค่าเงินฝากและตราสารหนี้ จากเดิมอนุญาตเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือน หรือเงินประจำตั้งแต่ 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และให้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของเงินเดือน
เดลินิวส์ 29 พย. 49
ไม่มีความเห็น