เมื่อวาน (อังคารที่ 28 ) เวลาเที่ยงถึงบ่ายโมง งานกิจการนิสิต โดยสโมสรนิสิตคณะสหเวชศาสตร์ ได้จัดกิจกรรมโต้วาทีนิสิตขึ้น เสียดายที่ดิฉันไม่ทราบล่วงหน้า ทราบทีหลังว่า ได้มีการแข่งไปรอบหนึ่งแล้ว (จันทร์ที่ 27) ระหว่างนิสิตสาขาเทคนิคการแพทย์ และสาขาเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก
ครั้งนี้ เป็นการแข่งขันโต้วาทีระหว่างนิสิตสาขากายภาพบำบัด และสาขารังสีเทคนิค ดิฉันมีโอกาสเข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย เพราะช่วงเที่ยงซึ่งปกติดิฉันมักจะยังทำงานในห้องจนบ่ายจึงพัก แต่เนื่องจากต้องเตรียมตัวประชุมคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยบ่ายโมง จึงออกมาชมโลกก่อนเวลา ทำให้ประสบพบการจัดกิจกรรมโดยบังเอิญ และได้รับเชิญหน้างาน
ดิฉันไม่ยอมพลาดโอกาสเช่นนี้แน่ กิจกรรมนอกหลักสูตรของนิสิตสนุกกว่าในชั้นเรียนเสมอ ญัตติของการโต้วาที คือ เศรษฐกิจไทยร่อแร่ ย่ำแย่กว่าการเมืองล้มเหลว
นิสิตฝ่ายเสนอ คือสาขารังสีฯ นิสิตฝ่ายค้าน คือสาขากายภาพฯ ฝ่ายละ 3 คน มีกรรมการตัดสิน เป็นอาจารย์จากทั้ง 4 ภาควิชา ๆ ละ 1 คน มีนายกสโมสรฯ เป็นประธานการโต้วาที ทำหน้าที่คอยจับเวลา
บุคลิกและน้ำเสียงของทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านแต่ละคน ฉายแววของนักพูดที่ดีทีเดียว คือดูมีความเชื่อมั่นในตนเองและมีความฉะฉาน เพียงแต่....ไม่ทราบว่าแต่ละคนได้รับการคัดสรรมาอย่างจำใจ และจำเป็น ในเวลาอันเร่งรัดหรือเปล่า
ที่ว่าดังนี้ เพราะเวลาที่ใช้ในการพูด ช่างสั้นเสียเหลือเกิน ดิฉันไม่ทราบว่ากติกากำหนดให้พูดคนละกี่นาที แต่ดูเหมือนงานนี้นาฬิกาจับเวลาจะน้อยใจ เพราะไม่ค่อยได้โชว์เสียงของตนเลย ส่วนผู้ฟังก็ยังอารมณ์ค้างเติ่งต้องหาทางมาระบายต่อ (ที่ Blog นี้งัยคะ)
อย่างไรก็ตาม เวทีนี้ทำให้ดิฉันได้คิดว่า เรื่องพูดนี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ซึ่งในสถาบันการศึกษาเราไม่ค่อยได้ฝึกฝนแก่นิสิต ที่มีอยู่บ้างก็เป็นรูปแบบของการรายงานหน้าชั้นเรียนซึ่งมักเป็นเนื้อหาวิชาการ ประเทืองปัญญาแต่ไม่ค่อยประเทืองอารมณ์
แบบที่ให้พูดโต้กันโดยใช้ความรู้รอบตัว ใช้ไหวพริบปฏิภาณ หักล้างเหตุผลกันอย่างสร้างสรร และอย่างควบคุมอารมณ์ นี่แทบไม่ค่อยได้ฝึกกันเลย ทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสารเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (อย่างดิฉันเอง เป็นต้น หรืออย่างที่เรามักเห็นกันในที่ประชุมทั้งใหญ่น้อย ไปจนถึงเรื่องการเมือง)
กิจกรรมดีดีเช่นนี้ (กิจกรรมโต้วาที) ถ้ามีการเตรียมการอย่างพิถีพิถัน เช่นมีการสอนภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มีการซ้อมก่อนแข่ง มีเวทีแข่งขันทั้งระดับคณะ ระดับมหาวิทยาลัย จะเป็นการสร้างคนที่สมบูรณ์ ครบทุกมิติ เพิ่มอีกอย่าง ต่างหากจาก สุ จิ ปุ ลิ : ฟัง คิด ถาม เขียน ที่ครูบาอาจารย์และศิษย์คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
หลังจากร่วมกิจกรรมนี้ ดิฉันก็เกิดอารมณ์หาตำรามาอ่าน และได้ความรู้มาถ่ายทอดบางส่วน ดังนี้
วัตถุประสงค์ของการโต้วาที
ดูเหมือนว่า การจะฝึกพูดให้ดี ต้องฝึกทั้งฟังไป คิดไป ก่อนขึ้นเวที ก็ต้องฝึกอ่านให้มาก และบันทึกช่วยจำไว้ แถมอาจต้องฝึกใช้สำนวนโวหารด้วยการแต่งโคลงกลอนให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มอีกด้วย เท่ากับได้ฝึกทั้ง สุ จิ ปุ ลิ ไปในตัวด้วยนะคะ
เวทีโต้วาทีคราวต่อไป (พฤหัสฯที่ 30) เป็นรอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง นิสิตสาขารังสีฯ (ฝ่ายเสนอ) และสาขาเทคนิคฯ (ฝ่ายค้าน) ในญัตติ ปัญหาวัยรุ่นไทยต้องแก้ไขที่ครอบครัวมากกว่าตัววัยรุ่น เวลาเที่ยงตรง คนในแวดวงอย่าพลาดเชียวนะคะ ดิฉันก็จะไม่ยอมพลาดเช่นกัน......
แวะเข้ามาเยี่ยมท่านอาจารย์ครับ
แหม! ไม่นึกว่าภาพที่ลงตัวเนี่ย จะหายากปานฉะนี้ ก่อนหน้ารูปเหมือนคนมีสตางค์ ก็เป็นรูปเหมือนคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ที่ท่านอาจารย์ JJ หยอกว่าเห็นแล้วต้องยกมือไหว้ เฮ้อ...โล่งอกเสียทีที่อาจารย์ Beeman ช่วย comment
ขอบคุณคุณกัมปนาทที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ ขอสูบ Blog KPN เข้า Planet QA2KM เสียเลย