ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมวิชาการที่เชียงใหม่....
ได้ความรู้สึกบรรยากาศวิชาการเก่าๆสมัยยังเรียนหนังสือกลับมา...
ลองอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ...เชื่อว่าหลายคนคงเคยอ่านมาบ้าง...แต่อาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง...ก็แล้วแต่ว่าจะฟังมาจากเวอร์ชั่นไหนนะครับ...ลองอ่านเวอร์ชั่นนี้ดูแล้วคิดตามนะครับ...
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว
ยังมีชุมชนริมแม่น้ำใหญ่ ที่ไหลเชี่ยวกรากแห่งหนึ่ง
ผู้คนในชุมชนได้อาศัยแม่น้ำหล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตประจำวันต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน
แต่ปัญหาใหญ่ที่ชุมชนนี้เผชิญอยู่และหนักหนาขึ้นในช่วงระยะหลังๆ
คืออัตราการเสียชีวิตของคนในชุมชนจากการจมน้ำในแม่น้ำสายนี้
เมื่อปัญหานี้ถูกหยิบยกขึ้นมาร้องทุกข์ต่อ “ทางการ” ก็ได้มีการจัดส่ง
“หน่วยกู้ชีพทางน้ำ” ซึ่งประกอบด้วยทีมนักช่วยชีวิตคนจมน้ำ
(life
guard)
ผู้ผ่านการฝึกอบรมเป็นนักวิชาชีพตามมาตรฐานสากล
ในการช่วยชีวิตคนที่จมน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ
หน่วยกู้ชีพนี้ได้อุทิศตนทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และค่อยๆ
ขยายจำนวนบุคลากรด้านต่างๆขึ้นตามลำดับ
มีผลงานการช่วยชีวิตคนจมน้ำให้รอดตายได้เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป
สถิติของคนที่จมน้ำตายในชุมชนก็ยังคงสูงอยู่
หน่วยกู้ชีพเริ่มทบทวนการทำงานของตน และพบว่า
แม้จะทำงานกู้ชีพกันอย่างหนัก แต่หลายๆกรณีก็ได้รับแจ้งเหตุล่าช้า
ทำให้ช่วยชีวิตคนไม่ทันจำนวนมาก จึงปรับให้มีการเพิ่ม
“ยามเฝ้าระวังเหตุ”
และสร้าง “หอเฝ้าระวัง”
ขึ้นเพื่อคอยตรวจการณ์และรับเหตุให้ฉับไวขึ้น
ซึ่งการดำเนินการนี้ได้ช่วยชีวิตคนจมน้ำได้เพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป
สถิติของคนที่จมน้ำตายในชุมชนก็ยังคงสูงอยู่
หน่วยกู้ชีพเริ่มทบทวนการทำงานของตน และเกิดแนวคิดใหม่ว่า
แม้พวกตนจะทำงานกู้ชีพและเฝ้าระวังกันอย่างหนัก แต่ถ้าชาวบ้านในชุมชน
สามารถว่ายน้ำเป็นมากขึ้น
อย่างน้อยให้ประคองตัวรอรับการช่วยเหลือได้นานขึ้น
ก็น่าจะทำให้คนเสียชีวิตน้อยลง
หน่วยกู้ภัยเริ่มปรับการทำงานของตนมาสู่ “การสอนว่ายน้ำ” มากยิ่งขึ้น
ทั้งสอนเองโดยตรง
ทั้งสอดแทรกในหลักสูตรการสอนในโรงเรียนและโดยหอกระจายข่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อมา ยังได้ดึงเอาคนที่ว่ายน้ำแข็งจำนวนหนึ่ง
เข้ามาเป็นอบรมเป็น “อาสาสมัคร”
ช่วยชีวิตชาวบ้านคนอื่นได้อีกด้วย
ซึ่งการดำเนินการนี้ได้ช่วยชีวิตคนจมน้ำได้เพิ่มขึ้นจำนวนมากทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป แม้จะทำทุกอย่างข้างต้นแล้ว
สถิติของคนที่จมน้ำตายในชุมชนก็ยังคงสูงอยู่
หน่วยกู้ชีพซึ่งก็ได้ปรับกระบวนการสอนของตนไปหลายรอบ
ก็ทบทวนการทำงานของตน และเริ่มท้อใจ
คิดไม่ออกว่าพวกตนจะลดการจมน้ำตายให้ได้ผลดีกว่านี้ได้อย่างไร?
พวกเขาสัมมนาปรึกษากันหลายรอบ แต่คำตอบยังวนเวียนไปมา จนคราวหนึ่ง
มีนักกู้ชีพคนหนึ่งถามขึ้นว่า
“ทำไม
คนในชุมชนนี้ถึงตกน้ำกันเยอะนักล่ะ?”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนนัก พวกเขาจึงไปถามผู้เชี่ยวชาญในเมือง
ซึ่งก็ตอบได้ตามหลักการแต่ก็ยังไม่ชัดนัก
บางคนบอกพวกเขาให้ลองมาถามชาวบ้านในชุมชนดูจะดีกว่า
ชาวบ้านหลายคนมาช่วยกันตอบคำถามนี้จากประสบการณ์ของตน
คำตอบสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด
นักกู้ชีพกลุ่มนี้ก็ประมวลสาเหตุหลักๆได้หลายประการ เช่น
ชาวบ้านต้องลงไปใช้น้ำในแม่น้ำทุกวัน วันละหลายครั้ง
ทั้งเพราะความเคยชินแต่ดั้งเดิม และเพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ด้วยชุมชนนี้ไม่มีประปาใช้
กรรมการชุมชนสนใจใช้งบประมาณไปทำเรื่องถนนและอื่นๆมากกว่า
ทั้งตลิ่งของแม่น้ำนี้ก็ชันมากจนการหาบน้ำมาใช้ในครัวเรือนทำได้ลำบาก
ตลิ่งชันนี้เองก็ทำให้คนลงไปใช้แม่น้ำลื่นจมน้ำไปก็มาก
ท่าน้ำและสะพานที่มีก็แคบและชำรุด นอกจากนั้น
ยังมีกลุ่มอันธพาลในชุมชนชอบผลักคนที่ตกปลาริมตลิ่งตกน้ำเพื่อแย่งชิงปลาในข้อง
ฯลฯ
จากคำตอบเหล่านี้ นำมาซึ่งคำตอบที่ง่ายขึ้นสำหรับคำถามว่า
เราจะลดคนตกน้ำในชุมชนได้อย่างไร
นักกู้ชีพชวนผู้นำชุมชนให้ประชุมชาวบ้านมาระดมความคิดและกำลังในการแก้ไขปัญหาความเป็นความตายของพวกเขาเอง
ความเป็นความตายที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเฉพาะน้ำมือของหน่วยกู้ชีพหรือหน่วยทางการอื่นใดอีกต่อไป
ไม่นานต่อมา
ระบบน้ำประปาของชุมชนถูกจัดสร้างขึ้นตามนโยบายใหม่ของสภาชุมชน
ชาวบ้านถูกกระตุ้นให้ปรับวิถีการใช้น้ำและห้องน้ำใหม่
ซึ่งจากความสะดวกที่ได้รับจากน้ำประปาที่เข้ามาในบ้าน
ทำให้ปรับตัวกันได้ไม่ยาก ตลิ่งที่ชันถูกปรับให้เป็นขั้นบันได
มีรั้วกั้นในจุดที่จำเป็น ท่าน้ำและสะพานถูกปรับปรุง
อันธพาลถูกชาวบ้านช่วยกันสอดส่องและปราบปราม ฯลฯ
ในที่สุด จำนวนคนจมน้ำตายลดลงอย่างทันตา
จนปัญหาการจมน้ำตายไม่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับชาวชุมชนต่อไปอีก
หน่วยกู้ชีพยังคงทำงานอยู่ในชุมชน
ยังทำงานสอนคนว่ายน้ำ เฝ้าระวังเหตุ และลงมือช่วยคนตกน้ำ แต่งานลดลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น
มีความสุขในการทำงานมากขึ้น
และไม่ต้องขยายหน่วยให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆต่อไป
นักวิชาชีพบางคนใช้เวลาที่มีเหลือมากขึ้นมาช่วยชาวชุมชนแก้ไขปัญหาอื่นๆจากบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากปัญหาคนจมน้ำ
หลายๆคนไปเรียนรู้ “กระบวนการพัฒนา” จากนักกู้ชีพกลุ่มนี้
บางคนถามเขาว่า ในกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด
ขั้นตอนไหนสำคัญและลำบากที่สุด?
นักวิชาชีพผู้กลายเป็นนักพัฒนาตอบอย่างไม่ลังเลว่า
ตอนที่จะต้องเริ่มคิดออกนอกกรอบวิชาชีพการกู้ชีวิตคนจมน้ำที่ร่ำเรียนฝึกฝนมา
อันเป็นความเชี่ยวชาญพิเศษของตน ไปสู่การแก้ที่สาเหตุของปัญหา
ที่ต้องใช้ความรู้และความร่วมมือจากคนอื่น
แต่การเปลี่ยนแปลงตนที่ยากที่สุดนี้ก็นำมาซึ่งผลการรักษาชีวิตคนได้มากที่สุด
อ่านเรื่องนี้
นึกย้อนเปรียบเทียบกับวิวัฒนาการของสุขภาพได้ดีทีเดียว
เพราะมันได้สะท้อนถึงยุคที่เราพยายามทำตัวเป็นฮีโร่เข้าไปแก้ไขปัญหาสุขภาพของชาวบ้าน
แต่พอทำๆๆๆไปชักรู้สึกว่า
เอ...ปัญหามันไม่ยักลดแหะ...มันยังไม่หมดสักที
ก็เลยเริ่มมีการคิดจะสอนทันตสุขศึกษา...สอนแปรงฟัน
ต่อมาก็รู้ได้ว่ามันก็ไม่เวิร์คเท่าที่ควร
การป้องกันเช่น การเครือบหลุมร่องฟัน
และฟลูโอไรด์ก็จึงเป็นมาตรการที่ถูกหยิบนำมาใช้
ซึ่งก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึง..คำว่า
"สุขภาพที่ดี" ดังนั้น ปัจจุบัน "แนวคิดการส่งเสริมสุขภาพ"
จึงมาแรง....และอินเทรนเป็นอย่างมาก ซึ่งหลักการ
ก็คือพยายามทำให้คนส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตัวพวกเขาเอง
เราเป็นแค่ผู้กระตุ้น ไกล่เกลี่ย
ประสานความช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถสร้างสุขภาพที่ดีให้เกิดขึ้นเอง
ก็ลองอ่านอย่างพิจารณาดูนะครับ..ว่านักกู้ชีพอย่างเราๆที่ก้มหน้าก้มตารักษาฟันคนไข้นั้นน่ะครับ เป็นคำตอบสุดท้ายของการแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากหรือเปล่า เรายังคงคิดว่าปัญหาสุขภาพยังเป็นของเรา ที่เราต้องแบกเอาไว้อยู่เสมอหรือเปล่า....ถ้าไม่...มันเป็นปัญหาของใคร....และใครควรจะต้องเข้ามาแก้ไข....และควรจะแก้ไขอย่างไร..???
คำถามต่างๆเหล่านี้คงต้องกลับไปคิดหาคำตอบกันเองแล้วแต่ละคนนะครับ
หมอบอล,3 พ.ย.48
อ่านแล้วรู้สึกดีๆที่นักกู้ชีพไม่หยุดคิดที่จะหาทางแก้ปัญหา
ในการทำงานของเราก็คงต้องมีผู้ที่พยายามหาทางแก้ไขปัญหา
ช่วยกันคิด