การค้นพบตนเองและการพัฒนาตนเอง


การค้นพบตนเองและการพัฒนาตนเอง

การค้นพบตนเองและการพัฒนาตนเอง            

                   ถึงแม้คำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะย้ำว่า  ตนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้  และตนนั้นไม่มี  แต่ในสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์  ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีกิเลส  มีความต้องการ  และมีความทะเยอทะยานมนุษย์ก็ยังยึดถือ ตน   เป็นที่ตั้งตลอดมา  มีสุภาษิตเขียนว่า  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะขัดกับคำสอนของพระพุทธองค์ข้างต้นก็ได้  แต่ทั้งนี้เมื่อเราต่างก็ยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน  หรือสำเร็จเป็น  พระอรหันต์  เราก็ยังคงเวียนว่าย  ตายเกิดในวัฏสังสาร  ของการเป็นปุถุชนธรรมดา                หลายคนไปศึกษาอบรม  ไปดูงาน  ไปสัมมนา  จนกระทั่งมีความรอบรู้ทางวิชาการ  และเทคนิคต่างๆ  จนเจนจบ  เหมือนนักดาบที่เรียนเพลงรบครบกระบวนยุทธแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นหรือนักดาบผู้นั้น  จะสามารถรบชนะศัตรูได้  ทั้งนี้เพราะศัตรูของเรานั้นมีอยู่ถึง  2  ประการ                  

1.            ศัตรูภายนอก       หมายถึง  ความยากลำบากในการปฏิบัติงาน  ความลำเค็ญของสถานการณ์และความผันแปรของสิ่งแวดล้อม                

2.             ศัตรูภายใน           หมายถึง  อารมณ์  ความต้องการ  และความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง  ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า  ความพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศที่สุดคือ  การพ่ายแพ้ต่อตนเอง  แต่ปุถุชนธรรมดาต้องพ่ายแพ้ต่อตนเองทุกวัน  และวันละหลายครั้งด้วย  เช่นอยากกินมะยมดอง  ทั้งๆที่ไม่มีประโยชน์  หยุดดื่มเหล้าไม่ได้  ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นโรคตับแข็งนั่งเหม่อลอย  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้อะไรเลย                 ถ้าเราจะเรียนรู้ตนเองอย่างแท้จริง  มีคนแนะนำว่า  ควรจะไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน  เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์  นัยตามองเห็นธรรม  ฟังดูก็ง่ายแต่ที่จริงแล้วถ้าเราต่างก็ทำให้นัยตามมองเห็นธรรมได้หมด  โลกทุกวันนี้คงไม่น่าอยู่  เพราะทุกคนคงจะเข้าใจซึ่งกันและกัน  พูดอะไรต่างก็เข้าใจกัน  ปัญหาก็จะไม่มี  ข้อขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นและจะไม่มีข้อขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น  และจะไม่มีใครพูด  กิเลสมนุษย์ไซร้ยากแท้หยั่งถึง                

กิเลส  (NEEDS)    คือ  ความต้องการที่ปุถุชนทุกคนมีเหมือนกันทั้งนั้น  นักปราชญ์ชาวอเมริกันเขียนเอาไว้ว่า  กิเลสของคนเรามี  5  ระดับ  ตั้งแต่ระดับที่มีความจำเป็นที่สุดจนถึงระดับที่หรูหราที่สุด  ได้แก่                

1.             ความต้องการทางร่างกาย  ได้แก่  ความต้องการปัจจัยทั้งสี่ในการดำรงชีพ  คือ  อาหาร   เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค  ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้  เพื่อการดำรงชีพ  และเพื่อการดำรงชีพ  และเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่ได้ต่อไป                 

2.             ความต้องการด้านความปลอดภัย    หลังจากที่คนเราได้ปัจจัยทั้งสี่ที่พึงประสงค์แล้ว  ก็จะเริ่มนึกถึงความปลอดภัย  ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยจากการถูกทำร้าย  การบาดเจ็บหรือความตายสัญชาตญาณความกลัวภัย  จะทำให้คนพยายามป้องกันตัวเองให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ 

3.             ความต้องการทางสังคม    เมื่อคนเรามีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย  ก็จะคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ  ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการรวมกลุ่ม  มีการคบค้าสมาคมกันความต้องการทางด้านนี้จะไม่บังเกิดขึ้น  ถ้าคนเราจะเอาชีวิตรอดไปวันหนึ่งๆ 

4.             ความต้องการทางเกียรติยศชื่อเสียง  หมายถึง  การได้รับการยกย่องนับถือและยอมรับในเกียรติยศ  ตำแหน่งหน้าที่และบทบาทของตนในสังคม 

5.             ความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต    เมื่อชีวิตของเรามีพร้อม  ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกาย  ความปลอดภัย  สังคม  และเกียรติยศแล้ว  คนเราก็มักจะคิดฝากผลงานของตนให้ปรากฏ  ทั้งนี้เพราะว่า  มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด  ความอิ่มในความต้องการของคนเรานั้นไม่มี

 -  มนุษย์ -       มีลักษณะที่เป็นของตัวเอง  มีคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์  ซึ่งทุกคนจะต้องมี  ได้แก่                

1.             มีการแสดงออก   อันเรียกว่าพฤติกรรม  หมายถึง  การแสดงอากัปกิริยาต่างๆ  การเคลื่อนไหว  การตอบโต้สิ่งเร้า                

2.             ความรู้สึกนึกคิด  ทุกคนรู้จักเจ็บ  รู้จักจำ  รู้จักโกรธ  รู้จักเกลียด  และมีอารมณ์ด้วยกันทุกคน  คนที่ไม่มีอารมณ์  คือคนที่ตายแล้ว                

3.             มีศักดิ์ศรี  ทุกคนมีศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นคน  อันเป็นเอกลักษณ์ของสัตว์โลกชนิดหนึ่ง          สัญชาตญาณของความเป็นคน  จะทำให้คนคิดทรนง  หยิ่ง  และเป็นตัวของตัวเองเสมอยกเว้นจะถูกสิ่งแวดล้อมบีบบังคับ  ให้แปรเปลี่ยนไปเท่านั้น               

4.             มีความแตกต่างซึ่งกันและกัน  ความจริงที่ไม่ตายข้อหนึ่งที่มีอยู่ว่า  ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เหมือนกันทุกประการ  ทำให้เป็นที่มั่นใจได้ว่า  คนเราไม่เหมือนกัน  ความแตกต่างของคนเราเป็นไปได้ทั้งทางร่างกาย  ทางอารมณ์  ทางสังคม  และทางจิตใจ  ฉะนั้น  สิ่งที่เราเป็น  คนอื่นอาจจะไม่เป็น  สิ่งที่เราคิด  คนอื่นอาจไม่คิด  การทึกทักเอาว่าคนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้  น่าจะเป็นอย่างนั้น  จึงเป็นความคิดที่มีโอกาสผิดครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย                

ตน  (SELF)   ตัวคนเรานั้นมักจะก้มลงมองตนเองเป็นใหญ่  จะสังเกตเห็นได้ว่า  เวลาชี้ไปที่คนอื่น  ใช้นิ้วเดียวชี้  แต่อีก  4  นิ้วชี้ที่ตัวเอง  เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นไม่มีใครไม่เห็นแก่ตนเอง  แต่สิ่งที่สังคมอยู่เย็นเป็นสุขได้ทุกวันนี้  ก็เพราะการเห็นแก่ตนเองในสังคมนั้น  เป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย ตัวของเราเองที่เกิดมานี้  เป็นตัวของตัวเองได้  3  ตัว  คือ 

1.                   ตัวที่ตนเองเป็น  (REAL  SELF)  คือ  ความเป็นตัวเราจริงๆ  ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของโลก  ห้อมล้อมด้วยสังคม  และความผันแปรอันเป็นธรรมชาติของโลก

2.                   ตัวที่เราคิดว่าเราเป็น  (PERCEIVED  SELF)  คือ  ภาพของตัวเองที่ตนมีความรู้สึก  อาจจะหรูหรากว่าตัวจริง  หรือต่ำต้อยกว่าตัวจริงได้  และความรู้สึกที่ตัวเองเป็นผู้เปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะตามสภาพที่ตัวเราเป็นอยู่ในขณะนั้น  คนที่มองเห็นตัวเองต่ำกว่าความเป็นตัวตนจริง  เรียกว่าดูถูกตนเอง  และคนที่มองเห็นตัวเองสูงกว่าความเป็นตัวตนจริงเรียกว่า  เห่อตัวเอง

3.                   ตัวที่เราอยากจะเป็น  (IDEAL  SELF)  คือ  ภาพคนในจินตนาการที่เราอยากจะเป็นและขวนขวายที่จะเป็น  ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแรงผลักให้เป็นคนทะเยอทะยานไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนตั้งไว้  ถ้าเป็นไปได้ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต  แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็จะรู้สึกคับข้องใจ  อึดอัดใจ  กระวนกระวายและเป็นทุกข์ 

                บุคคลใดค้นพบตัวเอง  คือบุคคลที่ทำให้ตัวเราที่คิดว่าเป็น  (Perceived  Self)  ขยับเข้ามาทับกับตัวเราที่เป็นตัวเราจริงๆ  (Real  Self) ได้มากที่สุด  กล่าวคือ

                 *    รู้ในสิ่งใด  ก็ยอมรับว่ารู้ในสิ่งที่เรารู้

                 *    ไม่รู้ในสิ่งใด  ก็ยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งนั้น

                *    มีความสามารถในด้านใด  ก็รู้ว่ามีความสามารถ และยอมรับว่า  มีความ

                      สามารถในด้านนั้น

             *     ด้อยความสามารถในด้านใด  ก็รู้ว่าด้อยความสามารถและยอมรับว่าด้อย

                    ความสามารถในด้านนั้น

                  ก็จะมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่ตัวที่เราอยากจะเป็น  (Ideal  Self)  ได้สะดวกขึ้นเท่านั้น

ทำอย่างไรจึงจะรู้จักตนเอง                

                 ถ้าเราต้องการอะไรแล้วไม่ไปหามา  เราก็ไม่ได้  ถ้าเราอยากพบว่าใคร  และไม่ไปถามหาก็คงไม่ได้พบ  และยิ่งถ้าของเราหายเราไม่ไปค้นหา  ก็คงไม่มีวันได้คืน  ในลักษณะเดียวกันคนที่ดูถูกตนเองเห่อหรือไม่รู้จักตัวเอง  ก็จะไม่มีวันพบ  จะกลายเป็นคน  หลง   ตัวเองหรือไม่ทราบว่าจริงๆ แล้ว  ตัวเองเป็นใคร  มีความสามารถแค่ไหนทำอะไรได้บ้าง  มีจุดอ่อน  หรือมีจุดเด่นประการใดบ้าง                เนื่องจากคนเราชอบเข้าข้างตนเอง  โอกาสที่คนเราจะพบตนเองด้วยตัวของเราเองนั้นจึงลำบากเพราะคนเรา 

1.                   ชอบอ้างเหตุผล   ไม่มีใครยอมรับว่าตนผิดก่อนเพราะสัญชาตญาณในการกลัวความผิดและกลัวภัย  สอนให้คนเป็นเช่นนั้นมาแล้ว

2.                   สร้างเกราะคุ้มกันตนเอง  ประสบการณ์ชีวิตคน  บวกกับสัญชาตญาณมนุษย์ทำให้คนต้องสร้างเกราะคุ้มบังจิตใจตนเอง  ไม่ให้ยอมรับหรือแม้กระทั่งต่อต้านในสิ่งที่เป็นภัยแก่ตน

3.                   การโยนความผิด  ไม่มีใครยอมอุ้มลูกเหล็กที่ร้อนไว้ในอ้อมกอดของตนเองทันทีที่รู้ว่าร้อนจะโยนไปให้ผู้อื่นรับทันที  จะยอมรับกลับมาก็ต่อเมื่อความร้อนลดลง  หรือไม่มีความร้อนแล้วเท่านั้น  เพื่อป้องกันสภาพที่ตนยอมรับไม่ได้  คนเราจะโยนความผิดไปให้คนอื่นก่อนเสมอ  ถ้าโยนไม่ได้ก็โยนไปให้ผีหรือเทวดาที่ไม่มีตัวตน 

               ทำไมคนเราจึงต้องเป็นที่กล่าวข้างต้นนี้  คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ  ทุกคนต้องการอยู่รอด  ทุกคนจึงต้องดิ้นรน  เพื่อดำรงชีวิตอยู่  ฉะนั้นทุกอย่างจึงกระทำไปเพื่อความอยู่รอดของตนเองเท่านั้น

ดังที่ประมวลเหตุผลมาแล้วข้างต้น  คนเราจึงค้นพบตนเองด้วยตนเองได้ยากเต็มที่  วิธีค้นพบตนเองที่ขอแนะนำคือ

 1.                   มีความตั้งใจจริงที่จะค้นพบตนเอง

2.                   ลดเหตุผลเกราะคุ้มกันตัวเอง  และการโยนความผิดให้คนอื่นลงให้มากที่สุด

3.                   ตั้งคำถามถามตัวเองว่า  ทำไมจึงทำอย่างนั้น  อย่างนี้  คิดอย่างนั้น  อย่างนี้  หรือ  ฝันอย่างนั้น  อย่างนี้

4.                   เปิดเผยความรู้สึกต่อบุคคลที่คิดว่าเปิดเผยได้

5.                   ให้บุคคลอื่นแสดงความรู้สึกต่อเราตามที่เขารู้สึกจริงๆ

6.                   ใจกว้างพอที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  และมีเหตุผลในสิ่งที่เราเป็น 

7.                   เปรียบเทียบตัวเราในสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น  กับตัวที่คนอื่นคิดว่าเราเป็นเพื่อค้นหาตัวที่เราเป็น

8.                   วิเคราะห์ตัวที่เราเป็น  เพื่อหาปมด้อยและปมเด่น  เพื่อค้นพบตนเองในภาพที่ตนเป็นจริงๆ

9.                   ยอมรับสภาพที่เราเป็นและพร้อมที่จะพัฒนาให้เป็นภาพที่เราอยากเป็นในหนทางที่เป็นไปได้ 

             การพัฒนาตนเอง   คือ  กระบวนการที่บุคคลค้นพบตนเอง  แล้วเรียนรู้ตนเองและสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงคุณภาพของตนเองไปสู่ตัวที่เราอยากเป็น  ในขั้นตอนที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผล  มีระบบระเบียบและมีการวัดผลเป็นระยะๆ

            การพัฒนาตนเอง  เป็นการศึกษาโดยใช้ตัวเองเป็นครูสอน  ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่กระทำยากก็ตาม  แต่เป็นการฝึกฝนที่ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุน  และเมื่อฝึกจนเป็นนิสัยแล้วจะทำให้บุคคลตื่นตัวมีความกระตือรือล้นทันต่อเหตุการณ์  และมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีค่ามากขึ้นแต่ทั้งนี้ต้องอยู่ที่การฝึกฝนให้ตนรู้จักตนเสียก่อน 

หมายเลขบันทึก: 63579เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2006 15:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 15:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
      ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างมาก  ที่เขียนบทความนี้  แล้วจะขออนุญาตนำมาทดสอบ ความเป็นตนเอง  อย่างเที่ยงธรรม   ตรงไปตรงมา  เพราะผลที่ได้คงจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตที่มีความสุขอย่างแน่นอน  ต้องขอคารวะอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง  แล้วจะรออ่านบทความดีอย่างนี้นะค่ะ 

เห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่สุด คือ การพัฒนาตนเองค่ะ

ขอเสนอเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์ และเป็นแผนที่ในการพัฒนาตนเอง ที่ดิฉันกำลังศึกษาและเผยแพร่อยู่ คือ "นพลักษณ์" หรือ Enneagram ค่ะ

เรียนเชิญแวะไปอ่านได้ที่บล๊อกนะคะhttp://gotoknow.org/blog/nujjin

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท