4. Article XX เป็นข้อยกเว้นทั่วไปหรือเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อการกีดกันทางการค้า
จากคดีต่างๆที่ขึ้นสู่องค์กรระงับข้อพิพาทของ GATT /WTO การอ้างข้อยกเว้นทั่วไปตาม Article XX ของแต่ละประเทศเพื่อให้ตนสามารถใช้มาตรการจำกัดการนำเข้าซึ่งขัดต่อหลักการของ GATT นั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องในประเด็นเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ซึ่งเป็นส่วนใน Article XX (b)และ (g) โดยที่การตีความตอนแรกเริ่มคณะพิจารณา( Panel ) ของ GATT ตีความอย่างแคบและให้บังคับใช้มาตรการเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้แค่ภายในเขตอำนาจรัฐเท่านั้นแม้ต่อมาจะได้มีการผ่อนคลายความเคร่งครัดลงมา จนใน Shrimps-Turtles Case องค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body ) ได้ตีความคำว่า “exhaustible natural resources” ให้รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตด้วย การตีความคำว่า “relating to” ก็ผ่อนคลายความเคร่งครัดลงมาให้หมายความถึง มาตรการนั้นมีความเกี่ยวพันอย่างเพียงพอ (sufficient connection )ซึ่งจากการที่ผ่อนคลายความเคร่งครัดลงมาดังกล่าวทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถผ่านเงื่อนไขตาม Article XX (g) ไปได้ และการตัดสินดังกล่าวหากพิจารณาในระยะยาวแล้วก็จะเห็นได้ว่าหากสหรัฐอเมริกาปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ให้ถูกต้องตามที่คำตัดสินชี้ช่องไว้โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว สหรัฐอเมริกาก็จะสามารถใช้มาตรการฝ่ายเดียวได้อย่างชอบธรรม ซึ่งเท่ากับว่าคำตัดสินนี้เป็นการรับรองการใช้มาตรการฝ่ายเดียวทางสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกานั้นเอง[1] ทำให้ในอนาคตสหรัฐอเมริกาสามารถยกเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นเครื่องมือเพื่อการกีดกันทางการค้าได้อย่างชอบธรรม และจากการที่แนวตัดสินที่เปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการฝ่ายเดียวเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมได้นี้เอง ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาที่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดรองรับการส่งออกของตนได้รับผลกระทบและต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการกีดกันทางการค้าดังกล่าว แต่ด้วยกำลังทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าก็ต้องจำยอมปรับเปลี่ยนนโยบายทางสิ่งแวดล้อมของตนเพื่อรักษาตลาดที่จะรองรับการส่งออกเอาไว้ ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่ใช่นโยบายที่เหมาะสมกับประเทศของตนหรือไม่มีกำลังทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีพอที่จะดำเนินการสร้างมาตรฐานในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้เท่ากับประเทศมหาอำนาจ สุดท้ายก็เท่ากับเป็นการที่กฎหมายหรือของประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นสามารถมาบังคับและมีอิทธิพลครอบงำประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีทางเลือกในการทำการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเห็นว่าการดำเนินการเหล่านี้คือ “การล่าอาณานิคมด้วยสิ่งแวดล้อม” ( ecoimperialism)[2] ซึ่งทำให้วัตถุประสงค์และความต้องการขององค์การการค้าโลกที่ต้องการให้มีการค้าอย่างเสรี เป็นธรรมและขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันก็คงเป็นแค่ถ้อยคำที่อยู่แค่บนแผ่นกระดาษที่ไม่มีการนำมาร่วมมือกันดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้จริงแต่อย่างใด
บทสรุปในการค้าระหว่างประเทศตามวัตถุประสงค์ขององค์การการค้าโลกนั้นมุ่งให้การค้าเป็นไปอย่างเสรี แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม และมุ่งที่จะลดและขจัดอุปสรรคทางการค้าทุกประการระหว่างกัน แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วจะเป็นไปได้ยากอันเนื่องมาจากปัญหาสภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่หากแต่ละประเทศดำเนินนโยบายในการค้าระหว่างประเทศภายใต้วินัยทางการค้าและคำนึงถึงประเทศอื่นที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า รวมทั้งนำหลักการขององค์การการค้าโลกมาใช้โดยเคารพต่อหลักการดังกล่าว และไม่นำข้อยกเว้นตาม Article XX มาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เกินสิทธิ บิดเบือนหรือเป็นเพื่อการกีดกันทางการค้า[3] โดยใช้ทุกวิถีทางที่บทบัญญัติตาม Article XX เปิดช่องให้ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากจำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการหรือกฎเกณฑ์ใดๆขึ้นมา ก็ควรจะต้องคำนึงถึงความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาในการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับและในแนวทางที่ประเทศพัฒนาแล้วเห็นชอบ แต่ต้องไม่สร้างผลเสียต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาด้วย