ในวันที่กองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้มาศึกษาดูงาน (วันที่ 16 สิงหาคม 2560) สิ่งที่ผมย้ำเน้นกับนิสิตและทีมงานอย่างหนักแน่นก็คือ "เขาดูเรา-เราดูเขา" ซึ่งนั้นก็เป็นไปในครรลองเดียวกับ "รู้เขา-รู้เรา" นั่นเอง
ความหมายที่ว่านั้น - หมายถึง ผม ทีมงานและนิสิต ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานด้านกิจการนิสิตในกระบวนการนอกหลักสูตร หรือกิจกรรมนอกหลักสูตรเท่าใดนัก เรียกว่า ปีละครั้งก็ยังยาก ด้วยเหตุนี้จึงบอกย้ำกับทุกคนว่า "เมื่อเขามาดูงานเรา เราก็ดูงานเขาไปในตัว เป็นการศึกษาดูงานในสถานที่ของเราเอง ซึ่งเราต้องฉลาดพอที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้มาเยือน มิใช่สะท้อนข้อมูลอันเป็นตัวเองฝ่ายเดียว หรือเป็นผู้ให้แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจใคร่รู้เรื่องราวของเขา-ผู้มาเยือน"
ใช่ครับ ผมพูดและย้ำเช่นนั้นจริงๆ ..
เป็นการพูดและย้ำที่มีความนัยอันสำคัญถึงความเป็นศาสตร์และศิลป์ของการ "นำเสนอ" เชื่อมโยงถึงศาสตร์และศิลป์ของการ "ตอบคำถาม" หรือแม้แต่ "ซักถาม" เช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ ที่ว่าด้วยการฟัง การวิเคราะห์สาร การจดบันทึก
รวมถึงการทบทวนตัวเองว่า "มีอะไร" ! และนั่นก็หมายถึง "พูดในสิ่งที่ทำ ย้ำในสิ่งที่มี"
มิใช่ "ยกเมฆ" หรือ "ชักลากแม่น้ำหลากสายมาอย่างเปล่าเปลือง" เพียงเพื่อจะสร้างภาพโดยปราศจากมูลความจริง
อีกประเด็นที่ผมย้ำเน้นกับทีมงานอย่างหนักแน่นก็คือการจัดเตรียมเอกสารให้กับผู้มาศึกษาดูงาน
กรณีนี้ผมพูดกับทีมงานว่า การให้เอกสารต่อผู้มาศึกษาดูงานเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการได้มาซึ่งความรู้ผ่านเวทีการศึกษาดูงาน หลักๆ ได้ความรู้ผ่านการ "แลกเปลี่ยนเรียนรู้" หรือ "โสเหล่" หรือไม่ก็การเก็บเกี่ยวความรู้ผ่านสื่อต่างๆ ที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการ คลิปวีดีทัศน์ ละคร ฯลฯ
ขึ้นอยู่กับว่า เราจะ "จริงจัง จริงใจ" จัดเตรียมไว้ได้ดีแค่ไหน หรือแม้แต่ "เขา-ผู้มาเยือน" จะ "เปิดใจ" หรือมีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเองมากน้อยแค่ไหน
แต่ที่แน่ๆ ผมย้ำว่าหรือ "เอกสาร" แจกจ่ายเป็นเรื่องสำคัญมากๆ
คำว่า "สำคัญ" ในที่นี้ ผมยืนยันว่าสำคัญไม่แพ้การพบปพูดคุย บรรยาย บอกเล่า หรือโสเหล่กัน -
ด้วยเหตุประการนี้ ผมจึงมอบหมายให้ทีมงานได้ไปขอความอนุเคราะห์เอกสารประเภทจดหมายข่าวจากกองประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามมาให้ได้มากที่สุด ทั้งที่เป็นฉบับปัจจุบันและย้อนหลัง เพราะสิ่งเหล่านั้นจะมีเรื่องราวให้เรียนรู้และติดตามสืบไปในภายภาคหน้า
เช่นเดียวกับการที่ผมต้องลงมือละเลงเองเกี่ยวกับเอกสารอันเป็น "ของฝาก" หรือ "ของที่ระลึก" -
ผมลงมือคัดเลือก "หนังสือเรียนนอกฤดู" ภาคพิเศษเล่ม 3-6 มาส่งมอบเป็นของที่ระลึก พร้อมๆ กับการปริ้นงานเขียนใน Blog จาก Gotoknow.org ประมาณเกือบๆ 10 เรื่องมาเข้าเล่มส่งมอบเป็นของที่ระลึก
ผมบอกกับทีมงานว่า "ผมไม่ได้บ้าหนังสือ"
ใช่ครับ ผมไม่ได้บ้าหนังสือ แต่ผมให้ความสำคัญกับความรู้ หรือเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในรูปลักษณ์ของเอกสาร แม้จะไม่ใช่ความรู้อันทรงคุณค่าและทรงพลังมากมายนัก แต่มันก็เป็น "ตัวตนของเรา" ในแบบ "ของเรา" ที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจจุดยืนและทิศทางของการทำงานของเรา และยิ่งหากเวลาในเวทีมีจำกัด เอกสารเหล่านี้นี่แหละที่จะทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ แทนเรา ---
ครับ - ผมจัดเตรียมเอกสารงานเขียนใน Blog ของ Gotoknow.org เป็นของฝากจริงๆ
ผมไม่ได้พุดถึงศิลปะการเขียน ผมไม่ได้พูดถึงความรู้สาระในข้อเขียน ผมไม่ได้พูดถึงการอ่านและการเขียนเพื่อการพัฒนานิสิตนักศึกษา ... ผมไม่พูดเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูด การให้ หรือมอบไปคือสิ่งเดียวที่ผมคิดและรู้สึกจากใจ ส่วนเขาจะใช้ประโยชน์อะไรหรือไม่ ย่อมอยู่ที่ผู้ได้รับไป แต่ผมก็เชื่อว่าข้อเขียนของผมจะทำหน้าที่ของมันเอง เป็นการทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ เพราะผมเขียนในสิ่งที่ทำ ย้ำในสิ่งที่มี หรือ พูดในสิ่งที่ทำ ย้ำในสิ่งที่มี นั่นเอง
และอีกหนึ่งประเด็นที่ผม "คิดเอง-เออเอง" แบบไม่ได้บอกใครก็คือ "ผมเจตนาปริ้นและเข้ารูปเล่มแบบง่ายๆ"
ใช่ครับ- แทนที่จะเอาไฟล์มาจัดใหม่ในรูปของหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเหมือนที่ทำกันเป็นประจำ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถ้าทำเช่นนั้นย่อมดูดีและมีมูลค่ามากกว่าปริ้นออกมายังไงก็เอาไปเข้าเล่มแบบสดๆ อยู่วันยังค่ำ
ใช่ครับ - ยืนยันว่า ผมมีเจตนาชัดเจนว่าจะคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ต้นฉบับแบบโดยไม่ต้องประดิดประดอยใหม่
ไม่ใช่ติดกรอบเรื่องเวลา หรืองบประมาณอันน้อยนิดหรอกนะครับ แต่ทั้งปวงนั้นคือผมปรารถนาให้ "ผู้รับ" ได้เห็นแหล่งความรู้ หรือคลังข้อมูลของ Gotoknow.org เผื่อบางทีพวกเขาจะได้เข้าไปสืบค้นเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือแม้แต่เข้าไปเขียน Blog ด้วยตนเอง
นั่นคือเจตนาที่ผมชัดเจนและไม่ลังเลที่จะทำแบบนั้น
ครับ - นี่คืออีกหนึ่งเรื่องเล่าที่อยากเล่าในวิถีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวทีการศึกษาดูงานครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560
บางทีหลายเรื่องผมก็อธิบายแบบชัดๆ ขณะที่บางเรื่องผมก็เจตนาที่จะไม่อธิบายใดๆ ปล่อยให้เวลาได้คลี่คลายในสิ่งที่ผมคิดและกระทำ หรือให้พวกเขาได้ค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
เพราะนี่คือการ "สอนงาน สร้างทีม" ในแบบฉบับของผม
หมายเหตุ
คิดเรื่องงาน : เขียน 18 สิงหาคม 2560
ร้ายกาจครับผม ;)...
ชื่นชมมาก
ชอบใจ "ผมบอกกับทีมงานว่า "ผมไม่ได้บ้าหนังสือ"
ได้เอกสารสดๆผ่านการเผยแพร่มาแล้วด้วยเยี่ยมมากๆ
ทีมงานและผู้รับต้องชอบแน่ๆ
กับ..คำว่า.."คันตรงไหน..เกาตรงนั้น"..หนังสือที่จะจัดพิมพ์..หากใคร..ต้องการ..ยื่นความจำนงโดยตรง..ได้จำนวน..ที่แน่นอน..คุ้มทุน (ที่มี) แล้ว. ..ถึงจะจัดรูปเล่มออกมา..(ดีไหม)..
สวัสดีครับ อ.วัส
ดูเหมือนจะคิดง่ายๆ ทำง่ายๆ ก็เถอะ กระนั้นในความจริงก็จริงใจครับ - จริงจังและจริงใจที่จะทำแบบนี้ พร้อมๆ กับซ่อนนัยสำคัญไว้ให้นักศึกษาได้เรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองผ่าน G2K นั่นเอง
สวัสดีครับ
ดร.ขจิต ฝอยทอง
ปากบอกว่า ไม่ได้บ้าหนังสือ แต่ความจริงก็คือบ้าหนังสือดีๆ นั่นเอง ครับ
แต่ก็อย่างว่า การอ่านหนังสือ ก็เป็นประหนึ่งการอ่านโลกและชีวิตในอีกช่องทางหนึ่ง
แต่หนังสือก็ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ -
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
ดร.ขจิต ฝอยทอง
ปากบอกว่า ไม่ได้บ้าหนังสือ แต่ความจริงก็คือบ้าหนังสือดีๆ นั่นเอง ครับ
แต่ก็อย่างว่า การอ่านหนังสือ ก็เป็นประหนึ่งการอ่านโลกและชีวิตในอีกช่องทางหนึ่ง
แต่หนังสือก็ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ -
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
คุณยายธี
เคยคิดเหมือนกันว่าจะทำหนังสือขายเอง -ขายตรง แต่นั่นก็คงต้องมียอดสั่งจองในระดับหนึ่งบ้าง ไม่เช่นนั้นก็แบกภาระหนักหน่วงเกินทนครับ
สวัสดีครับ
คุณยายธี
เคยคิดเหมือนกันว่าจะทำหนังสือขายเอง -ขายตรง แต่นั่นก็คงต้องมียอดสั่งจองในระดับหนึ่งบ้าง ไม่เช่นนั้นก็แบกภาระหนักหน่วงเกินทนครับ
สวัสดีครับ
คุณยายธี
เคยคิดเหมือนกันว่าจะทำหนังสือขายเอง -ขายตรง แต่นั่นก็คงต้องมียอดสั่งจองในระดับหนึ่งบ้าง ไม่เช่นนั้นก็แบกภาระหนักหน่วงเกินทนครับ
ชื่นชอบ ชื่นชมในความคิด
ของน้องแผ่นดินมาก ๆ จ้ะ