ตอนผมรับราชการใหม่ๆ หนังสือวารสารในวงการศึกษาเล่มแรกที่ผมได้อ่านและติดตามเป็นประจำคือ “วิทยาสาร” ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช และหนังสือ “ชัยพฤกษ์” อีกเล่มหนึ่ง ต่อมาจึงมีวารสารทางวิชาการที่หน่วยงานต่างๆจัดทำขึ้นอีกหลายฉบับ เป็นเวทีให้ผมได้เขียนบทความส่งไปลงตีพิมพ์ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น สารพัฒนาหลักสูตร วารสารวิชาการ(กรมวิชาการ) วารสารส่งเสริมเทคโนโลยี(สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น) มิตรครู มติครู ก้าวไกล ประชาศึกษา วิทยาจารย์ จันทรเกษม สวนสวยโรงเรียนงาม วิจัยสนเทศ วารสารราชมนู เป็นต้น ต่อมาภายหลังวารสารทางวิชาการแทบทุกฉบับได้ปิดตัวลง ยังคงมีวารสารวิทยาจารย์ ของคุรุสภาฉบับเดียวที่ยังตีพิมพ์ให้ผมได้เป็นคอลัมน์ประจำเขียนมาอย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ พอพูดถึงความเป็นมาของหนังสือวารสารทางวิชาการตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะหนังสือวิทยาสาร และชัยพฤกษ์ ทำให้นึกถึงปรมาจารย์ทางภาษาไทยท่านหนึ่ง เจ้าของนามปากกา “นายตำรา ณ เมืองใต้” ที่โด่งดัง ท่านเป็นบรรณาธิการ วิทยาสารและชัยพฤกษ์ในสมัยนั้น และเขียนตำรับตำราทางภาษาไทยไว้มากมาย โดยชีวิตการทำงานของท่านโลดโผนมาก เคยเป็นทั้งครู ผู้บริหาร นักการเมือง นักวิชาการ นักจัดรายการวิทยุ(วิทยุศึกษา) ศึกษานิเทศก์ นักเขียน นักแสดง บรรณาธิการหนังสือพิมพ์/วารสาร และอาจารย์พิเศษ ท่านผู้นี้ก็คือ อาจารย์เปลื้อง ณ นคร โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะลาออกจากราชการใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่านดำรงตำแหน่งเป็นศึกษานิเทศก์เอก ด้วย ผมจึงขอย้อนรอยเขียนถึงอดีตศึกษานิเทศก์ท่านนี้ มาเล่าสู่กันฟังครับ
อาจารย์เปลื้อง ณ นคร เกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๒ ที่อำเภอพนางตุง( ปัจจุบันคือ อำเภอควนขนุน ) จังหวัดพัทลุง เป็นบุตรคนโตของขุนเทพภักดี (เล็ก ณ นคร) กับนางเทพ ภักดี (ยกฮิ่น ขุนทะโร) เริ่มเรียนหนังสือที่วัดล่าง พอขึ้นชั้นประถมปีที่ ๓ บิดาส่งให้ไปอยู่กับป้าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าเรียนต่อที่วัดท่ามอญ จนจบประโยคประถมปีที่ ๓ แล้วไปเรียนต่อที่โรงเรียนประจําจังหวัดนครศรีธรรมราช “เบญจมราชูทิศ” จนถึงชั้นมัธยมปีที่ ๒ จึงได้มาเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ (ปัจจุบันคือโรงเรียนเทพศิรินทร์) โดยอาศัยอยู่กับพลเอก เจ้าพระยา บดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ผู้มีศักดิ์เป็นลุง จนจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้วเข้าศึกษาต่อในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม (ป.ม.) เป็นรุ่นแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓
พ.ศ. ๒๔๗๔ อาจารย์เปลื้องเข้ารับราชการเป็นครูชั้นตรีที่โรงเรียนมัธยมโฆสิตสโมสร ทํางานอยู่เพียง ๗ วัน ก็ได้รับคําสั่งให้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนมัธยมวัดสุทธิวราราม (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดสุทธิวราราม) ห้าเดือนต่อมาได้รับยศ เป็นรองอํามาตย์ตรี พ.ศ. ๒๔๗๗ ย้ายไปเป็นครูโรงเรียนประถมกสิกรรม ประจําภาคใต้จังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๔๗๙ ย้ายกลับมาเป็นครูโรงเรียนพณิชยการวัดแก้วฟ้าล่าง จังหวัดพระนคร พ.ศ. ๒๔๘๐ ย้ายไปเป็นครูโรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ใน พ.ศ. ๒๔๘๑
อาจารย์เปลื้องทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาไทยมาโดยตลอด และเป็นครูภาษาไทยที่เอาใจใส่ต่อการสอนเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์เปลื้องรักภาษาไทย ได้ซึมซับความรักความสนใจในภาษาไทยมาตั้งแต่เด็กสมัยเมื่ออยู่กับพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ผู้เป็นลุง โดยอาจารย์เปลื้องมีหน้าที่อ่านหนังสือต่างๆให้ฟังเป็นประจำ ทั้งหนังสือพิมพ์ หนังสือเป็นเล่ม รวมทั้งหนังสือวรรณคดีต่างๆ จนเกิดความรักและความสนใจภาษาไทยเป็นชีวิตจิตใจ อาจารย์เปลื้องจึงเป็นนักอ่านและสนใจวิธีเขียนหนังสือของนักเขียนต่างๆเรื่อยมา ด้วยเหตุนี้อาจารย์เปลื้องจึงได้เขียนหนังสือหลายเรื่องหลายเล่มตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเมื่อเริ่มรับราชการครูจนมีชื่อเสียงในเรื่องภาษาไทย ดังนั้นเมื่ออาจารย์เปลื้องเป็นครูสอนภาษาไทยจึงทำให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานเพลิดเพลินจากเกร็ดภาษาไทยต่างๆที่อาจารย์เปลื้องได้อ่านและนำมาถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียน
พ.ศ.๒๔๘๓ กระทรวงธรรมการได้จัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้น อาจารย์เปลื้องจึงโอนมาอยู่กองการศึกษาผู้ใหญ่ และ พ.ศ.๒๔๘๔ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก พ.ศ. ๒๔๘๙ อาจารย์เปลื้องลาออกจากราชการเพื่อไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพัทลุง แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ๓เดือนต่อมาจึงขอกลับเข้ารับราชการอีก ทำงานต่อมาอีกระยะหนึ่งก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายจึงลาออกจากราชการอีก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐
พ.ศ. ๒๔๙๑ รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทําหนังสืออ่าน ประกอบการศึกษาของเด็กและผู้ใหญ่ กระทรวงศึกษาธิการได้มอบเรื่องนี้ให้คุรุสภา เป็นผู้ดําเนินการคุรุสภาจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง อาจารย์เปลื้องได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วยเพราะแม้จะลาออกจากราชการแล้ว แต่ความที่เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านความรู้ความสามารถในการเขียนหนังสือจนเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว แต่การทํางานของคณะอนุกรรมการชุดนี้ไม่ค่อยจะราบรื่น เพราะประธานกรรมการซึ่งเป็นข้าราชการประจําติดราชการบ่อย อาจารย์เปลื้องจึงเสนอให้จัดตั้งสํานักงานวรรณกรรมการศึกษาขึ้น (สํานักงานนี้อยู่ชั้น ๒ ของตึกสามัคยาจารย์ในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้ว) โดยให้รวมอยู่ในสํานักงานเลขาธิการคุรุสภาเพื่อจัดทําหนังสือที่มีคุณค่าสําหรับเด็ก อาจารย์เปลื้องได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการสํานักวรรณกรรมการศึกษาตามโครงการนี้ หลังจากจัดทําหนังสือสําหรับเด็กชุดคลังนิยายแล้ว คณะกรรมการจึงได้คิดทําหนังสือสําหรับครูขึ้นเป็นหนังสือรายปักษ์ชื่อประชาศึกษา อาจารย์เปลื้องทําหน้าที่เป็นบรรณาธิการคนแรกจนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒
พ.ศ. ๒๔๙๕ กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งกรมวิชาการขึ้น มีกองเผยแพร่ การศึกษาเป็นผู้ดําเนินงานสถานีวิทยุศึกษา อาจารย์เปลื้องจึงกลับเข้ารับราชการอีกที่ กองเผยแพร่การศึกษา เพื่อทํางานด้านวิทยุศึกษาและจัดทําวารสารวิทยุศึกษาในตําแหน่ง ผู้ชํานาญการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และใน พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งวิทยากรเอก ซึ่งเป็นตําแหน่งแรกในกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อแรกที่มาอยู่กองเผยแพร่การศึกษานั้น สํานักวัฒนธรรมทางระเบียบประเพณี สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดทําหนังสือสําหรับเด็กชี่อ ชัยพฤกษ์ อาจารย์เปลื้องได้รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการ เมื่อกระทรวงวัฒนธรรมยุบแล้ว บริษัทไทยวัฒนาพานิชได้รับช่วงมาทำต่อ และนายเปลื้องก็ยังทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการอยู่
พ.ศ. ๒๔๙๙ อาจารย์เปลื้องได้รับทุนขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ไปดูงานวิทยุศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลา ๗ เดือน ที่ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย เมื่อกลับมาก็ได้ดำเนินงานวิทยุโรงเรียน ( School Broadcast ) โดยส่งกระจายเสียงวิชาต่าง ๆ ไปยังห้องเรียน เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนเป็นอันมาก
พ.ศ. ๒๕๐๑ กองเผยแพร่การศึกษาได้โอนมากับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อาจารย์เปลื้องข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นเอก จึงได้รับแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์เอก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒
พ.ศ. ๒๕๐๓ อาจารย์เปลื้องลาออกจากราชการ ขณะนั้นข้าราชการชั้นเอกรับเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เมื่อลาออกจากราชการแล้ว ได้เข้ารับงานบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ วิทยาสาร ของบริษัทไทยวัฒนาพานิช และยังคงเป็นบรรณาธิการหนังสือชัยพฤกษ์ อยู่ตามเดิม
พ.ศ. ๒๕๐๗ อาจารย์เปลื้องได้รับเชิญเป็นอาจารย์สอนวิชาวรรณคดีและภาษาไทย ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ก่อตั้ง สโมสรสุนทรภู่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘
พ.ศ. ๒๕๑๘ อาจารย์เปลื้องลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่งในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร เขต ๗ (ธนบุรี คลองสาน ราษฎร์บูรณะ) และได้รับเลือกเป็นประธานกรรมาธิการวัฒนธรรมและสังคม แต่ไม่ทันได้ดำเนินงานรัฐบาลก็ประกาศยุบสภา เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ อาจารย์เปลื้องก็ปฏิเสธที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีก
พ.ศ. ๒๕๒๒ หนังสือพิมพ์ ชัยพฤกษ์ และวิทยาสาร ยุบกิจการ อาจารย์เปลื้องจึงลาออกจากบริษัทไทยวัฒนาพานิช เมื่ออายุได้ ๗๐ ปี
ชีวิตครอบครัวอาจารย์เปลื้องสมรสกับนางสาวเสณี ณ มหาชัย มีบุตร ๖ คนคือ นายศิธร นายภัทรวิทย์ นายพิรีย์ นายสุรพงศ์ นางสุรีนาฏ วิริยสิริ และนางสาวสุพรรณิกา ณ นคร
นามของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร หรือ นามปากกา นายตำรา ณ เมืองใต้ นั้น โด่งดังมากในวงการภาษาไทยของเมืองไทย อาจารย์เปลื้องเริ่มงานเขียนครั้งแรกเมื่อเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีผลงานเป็นที่ยกย่องของอาจารย์ที่สอน อาจารย์เปลื้องจึงได้รับมอบหมายจากสโมสรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เป็นบรรณาธิการหนังสือของมหาวิทยาลัย และได้เริ่มใช้นามปากกาว่า นายตำรา ณ เมืองใต้ เป็นครั้งแรก ในการเขียนเรื่องหลายเรื่อง เช่น นางงามแผนโบราณ ตาของเจ้าหล่อน คัณฑี ฯลฯ และใช้นาม ป. ณ นคร ในการเขียนอีกหลายเรื่องเช่น ประทารกรรม (มาจากเรื่อง The Rape Of Lucreece ของเชกสเปียร์ ) ขู่ภรรยา เป็นต้น เมื่อเป็นครูที่โรงเรียนยมัธยมวัดสุทธิวรารามได้เขียนเรื่องลงในหนังสือ วิทยาจารย์ ใช้นาม ร.อ.ต.เปลื้อง ณ นคร (ร.อ.ต.ย่อมาจากรองอำมาตย์ตรี) เช่น เรื่องการเล่นของเด็ก เครื่องว่างของนักเรียน ภาษิตครู เป็นต้น และยังมีเรื่องลงในหนังสือต่างๆ อีกมากมาย
หนังสือที่ทำให้อาจารย์เปลื้องมีชื่อเสียงมาก คือ ปริทรรศ์แห่งวรรณคดีไทย ซึ่งได้เขียนอุทิศเพื่อสนองพระคุณ พลเอก เจ้าพระยาบดินเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร ) และท่านผู้หญิงบดินเดชานุชิต ( เลียบ ณ นคร ) ผู้ปลูกฝังความรักความสนใจภาษาไทยให้ ต่อมาอาจารย์เปลื้องได้แต่งตำราที่มีคุณค่าต่อการศึกษาภาษาไทยอีกหลายเล่ม เช่น ประวัติวรรณคดีไทยฉบับนักศึกษา ซึ่งได้รับรางวัลในฐานะเป็นวรรณกรรมชั้นดีจากสำนักวัฒนธรรมทางวรรณกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ หนังสือวรรณคดีไทยปัจจุบัน วิชาการประพันธ์และการหนังสือพิมพ์ ฯลฯ หนังสือว่าด้วยการเขียนเรียงความ ๖ เล่ม ซึ่งมีประโยชน์ยิ่งสำหรับครูสอนภาษาไทย ด้วยว่าก่อนนี้ยังไม่มีตำราว่าด้วยการเขียนเรียงความมาก่อน นอกจากนี้ยังเขียนคู่มือครูอีกหลายเล่ม เช่น คู่มือลิลิตตะเลงพ่าย คู่มือวาสิฏฐี คู่มือพุทธประวัติ อิลราชคำฉันท์ เป็นต้น เขียนหนังสือการใช้ภาษาของนักเรียน เช่น ปทานุกรมนักเรียน พจ-นะ- สารานุกรม เป็นต้น เขียนบทความเกี่ยวกับภาษาไทยลงในบัญชรภาษาของหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ หลายเล่ม เช่น หนังสือพิมพ์เอกชน สวนอักษร รุ่งอรุณ เป็นต้น เขียนเรื่องสั้นและนิยายอีกหลายเล่ม เช่น ชุดนายเลากะงังฆ์ มโหสถบัณฑิต เป็นต้น เขียนประกอบภาพชุดร่วมกับนายเหม เวชกร เช่น ภาพสุนทรภู่ ราชาธิราช กากี กามนิต เป็นต้น มีงานแปลอีกหลายเล่ม เช่น ราชาปารีส (แปลจากเรื่อง King Of Paris ของ กีย์ อังดอร์ ) หญิงกรุงโรม ( จากเรื่อง Women Of Rome ของอัลแบร์โต โมราเวีย) แด่คุณครูด้วยดวงใจ ( จากเรื่อง To Sir, with Love ของ อี อาร์ เบรตเกต ) และแปลเรื่องสำหรับเด็กอีกหลายเรื่อง เช่น อัศวินแห่งกษัตริย์อาร์เธอร์ เดวี คร็อกเก็ต เป็นต้น
นอกจากจะมีความสามารถในการเขียนหนังสือแล้ว อาจารย์เปลื้องยังเป็นนักแสดงทีมีความสามารถยอดเยี่ยมอีกด้วย ได้แสดงละครเป็นตัวเอกจากบทประพันธ์ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล หลายเรื่อง เช่น การเมืองเรื่องรัก เป็นต้น
ด้วยอัจฉริยภาพด้านภาษาไทยของอาจารย์เปลื้องดังได้กล่าวมาแล้ว ในโอกาสฉลองครบ ๕๐ ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัยจึงได้ขอพระราชทานปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต กิตติมศักดิ์ ให้แก่อาจารย์เปลื้องเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ต่อมาสภามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ขอพระราชทานปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ ให้เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔
พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้รับพระราชทานพระเกี้ยวทองคำจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ทำนุบำรุง และเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยดีเด่น
พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับยกย่องเป็นปูชณียบุคคลทางภาษา และวรรณคดีไทยจากกระทรวงศึกษาธิการ
อาจารย์เปลื้องลาออกจากวัฒนาพานิชแล้ว ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการในงานเกี่ยวกับภาษาไทยหลายงาน เช่น งานปรับปรุงหนังสือภาษาไทยระดับมัธยมของกระทรวงศึกษาธิการ งานผลิตเอกสารการสอนภาษาไทยของวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น และได้พักผ่อนท่องเที่ยว เขียนหนังสือ แปลหนังสืออีกหลายเรื่อง หลายเล่ม เช่น หนังสือ ภาษาวรรณา และยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังมิได้รวมเป็นเล่ม อาจารย์เปลื้องมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคร้ายแรง มีแต่ความชราอย่างเดียว เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ ๙๐ เริ่มรับประทานอาหารน้อยลง และได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ สิริอายุได้ ๘๙ ปี ๑ เดือน ๒๑ วัน
ติดตาม อ่านงานของอาจารย์ เปลื้องมาตลอด
ท่านผู้นี้เป็นบรรพบุรุษที่มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในภาษาไทยอย่างยิ่ง ปีนี้ 110ปีของท่าน ขอเชิญชวน ศึกษานิเทศก์ และครูภาษาไทย ได้แสดง “กตเวทิตา” ให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ในคุณูปการของท่าน นะครับ