อนุสัญญาของ OECD และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รับชั่นกับกฎหมายภายในของประเทศไทย
๑ ความเป็นมาและความสำคัญ
ทั้งกฎหมายภายในของไทยและอนุสัญญาทั้งสองฉบับนี้ต่างก็มีที่มาจากการตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการทุจริตทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เหตุผลนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการออกมาตรการทางกฎหมายต่างๆเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อไม่ให้มีการแพร่ขยายของปัญหาการทุจริตต่อไป โดยการที่จะแก้ไขปัญหานี้จำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศ มาตรการต่างๆที่กฎหมายภายในของไทย และอนุสัญญาทั้งสองฉบับนี้ออกมา จึงมีแนวทางที่สอดคล้องกัน
๒หลักการสำคัญและวัตถุประสงค์
หลักการสำคัญและวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาทั้งสองต่างก็ได้รับการยอมรับจากกฎหมายภายในของไทยที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการทุจริตคอร์รับชั่น โดยมุ่งเน้นถึงการทุจริตทุกรูปแบบมิได้จำกัดเฉพาะกรณีการให้สินบนเท่านั้น แต่ทว่ากฎหมายภายในของไทยกลับมิได้มีการกล่าวถึงกรณีความผิดในการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างชาติ แต่อย่างใด กล่าวเฉพาะเพียงแต่ในกรณีของการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่รัฐของประเทศไทยเองเท่านั้น และมิได้กำหนดว่าต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดหลักการในเรื่องของผลประโยชน์ขัดกันเอาไว้ในกฎหมายภายในของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้เป็นเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งต่างๆของรัฐ
ในส่วนของการกำหนดความผิดเกี่ยวกับการทุจริตนั้น กฎหมายภายในของไทยครอบคลุมเฉพาะกรณีความผิดในการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศไทยเองเท่านั้น ไม่ร่วมถึงกรณีของเจ้าหน้าที่รัฐของรัฐต่างชาติ
๓มาตรการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการทุจริต
กฎหมายภายในของไทยในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตนอกจากที่มีบัญญัติในกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีกฎหมายพิเศษมีที่มาจากกฎหมายแม่แบบขององค์การระหว่างประเทศ จึงทำให้กฎหมายภายในของไทย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีลักษณะที่ครอบคลุมในเนื้อหาสาระเช่นเดียวกับที่อนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติ และ OECD กำหนดไว้ แต่ในส่วนของการกำหนดให้นิติบุคคลต้องรับผิดจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตนี้ก็ยังมิได้มีการกล่าวถึง
และสำหรับการทุจริตของภาคเอกชนนั้น มิได้ระบุเป็นความผิดอาญาโดยตรงในเรื่องของการทุจริต แต่มีการกำหนดความผิดเกี่ยวกับการทุจริตเอาไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ , พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ , พ.ร.บ.ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และพ.ร.บ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีการกล่าวถึงการกระทำความผิดเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งในสถาบันการเงิน ซึ่งกำหนดไว้เป็นความผิดมูลฐานตาม มาตรา ๓(๔)
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น ประเทศไทยได้เป็นภาคีในอนุสัญญาหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการให้ความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยสามารถให้และรับความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวน การพิจารณาคดี การส่งตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รับชั่น และมาตรการเกี่ยวกับทรัพย์สินต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
บทสรุป
จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงปญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รับชั่น ทั้งจากมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในของประเทศไทย ทำให้ตระหนักได้ว่าปัจจุบันนี้ปัญหาการทุจริตคอร์รับชั่นได้กลายเป็นปัญหาระดับสากล ซึ่งส่งผลคุกคามต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของโลกอย่างใหญ่หลวง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีความร่วมมือกันในระดับระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน จึงเป็นที่มาของอนุสัญญาต่างซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต
โดยอนุสัญญาแต่ละฉบับ และกฎหมายพิเศษของประเทศไทย ต่างก็มีถึงข้อดี และข้อด้อยของแตกต่างกัน ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้กับกฎหมายภายในที่มีอยู่ได้ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รับชั่นสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในสังคมระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น และเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุนในประเทศไทยด้วย
ไม่มีความเห็น