Mind & Spiritua (27)l : ความขี้เกียจ...กับความขยัน มุ่งสู่ความเพียร


 

วันนี้ตั้งแต่เช้า..ได้มีโอกาสพูดถึงความเพียร...กับคุณไมโตตั้งแต่เช้า
และพูดถึงความขี้เกียจกับ อ.แหม่ม ...กับความสุขในแต่ละวัน
...
ประมาณหกโมงเช้า...น้องแหม่ม..หรือ อ.แหม่ม เดินมาโผล่หน้าที่บ้านพักแต่เช้า..
ดิฉันกำลังทำน้ำผลไม้ปั่น..ตั้งใจว่าจะไปเคาะหน้าบ้าน อ.แหม่ม..เพื่อแบ่งปันให้ดื่ม สดชืน สดชื่นแต่เช้า
แหม่ม...บอกว่า "ดูพี่ปุ๋มมีความสุข..จัง"...ดิฉันจึงตอบไปว่า..."คะ..มีความสุข...และสบายใจด้วย"
"เดี๋ยวแหม่ม...อยู่ดื่มน้ำผลไม้ปั่นของพี่ก่อนนะ.." แล้วพี่จะทำเครื่องดื่ม Detox ให้ด้วย...เพราะตั้งใจแล้วว่าจะทำให้ดื่ม

...
และก็ตั้งใจว่า...ทำเครื่องดื่มนี้เสร็จ..ทำผัดผักรวมใส่ปลาทูน่า แบ่งปันไปให้พี่ทานด้วย
เมื่อพิจารณา...ตามความตั้งใจ..ก็ได้ทำในกิจทุกกิจที่ตั้งใจ
เพราะอะไร...จึงทำได้..ก็เพราะเราตั้งใจ...มีบ้างแว๊บหนึ่งเข้ามา ว่าขี้เกียจขับรถไปบ้านพี่ทาน..
แต่อีกภาพความคิดหนึ่งก็แว๊บเข้ามา...ว่า" เราตั้งใจ...ก็จงทำตามความตั้งใจเถอะ"...แล้วความคิดขี้เกียจนั้นก็อ่อนแรงลง

...
พอสายๆ..หน่อยได้มีโอกาสทักทายกับคุณไมโต...ก็พูดถึงเรื่องความเพียร ความขยัน
และเมื่อบ่าย...ก็ได้พูดเรื่อง..นี้อีกครั้งกับพี่ทาน
ก็เลย get บางอย่าง..เรื่อง ความขี้เกียจ...
ซึ่งเรื่องนี้คนเรานั้นมีแทบทุกคน...น้อยคนแทบจะไม่มี...
ซึ่งจะมีมากหรือมีน้อย...นั้นขึ้นอยู่กับพลังแห่งความขยันและความเพียร

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสร้าง "พลังแห่งความขยัน" ขึ้นมา...ความขี้เกียจก็จะอ่อนล้าลง...อ่อนแรงลงเรื่อยๆ..
แต่ถ้าเมื่อใด...ที่เรายังไปเพิ่ม ไปเติม...พลังให้ความขี้เกียจ..มันก็จะยิ่งกล้าแกร่งขึ้นเรื่อย..เรื่อย..
จนบางครั้งเราไม่อาจที่จะควบคุมเขาได้... และเขา (คือตัวความขี้เกียจจะเข้ามาควบคุมเราแทน)

........................................
จะเห็นได้ว่า... ในหนังสือ..ที่พูดถึงคำสอนทางพุทธศาสนาต่างๆ...
ทำไมถึงพูดถึงเรื่องความเพียร...ทำไม..ท่านถึงสอนว่า.."ถึงแม้ขี้เกียจก็ต้องลุกขึ้นมาทำกิจ"...
นั่นเพราะ..เราต้องการให้พลังของความขี้เกียจนั้น...ไม่เพิ่มขึ้น ไม่มากขึ้น
หากแต่..ทำให้พลังแห่งความขยัน..เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้นจนในที่สุด...มากขึ้นกว่าพลังแห่งความขี้เกียจ
ความขี้เกียจก็ไม่สามารถที่จะมาควบคุมเราได้...หากแต่พลังแห่งความขยันจะเข้ามาแทนที่

ทุกอย่างอยู่ที่ความเพียร...แรกๆ อาจจะยาก ต่อการทำ...และฝึกฝนตัวเอง
แต่เมื่อเราฝึก..ปฏิบัติไปเรื่อยๆ...มันก็จะง่ายเข้า..และง่ายเข้า...
และหากเราเข้าใจ...เข้าใจเหตุแห่งความเป็นไป...
ความขี้เกียจ..ก็จะไม่เข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราอีกต่อไป....

 

หมายเลขบันทึก: 63353เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2006 13:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 12:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (30)
  • “ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์”
    พระราชปรารภ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก
  • หากการกระทำอย่างหนักเกินไป ก็เป็นการใช้ความเพียรที่ไม่ถูกต้อง เขาเรียกว่าหักโหม เป็นการทรมานตนเองไม่ใช่ความเพียร
  • ความเพียรคือการทำทีละนิดๆ แต่ทำอย่างต่อเนื่อง คนที่มีความเพียรต้องค่อยๆ เพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ นั่นคือความเพียร
  • เป็นกำลังใจนะค่ะ  ให้ความเพียรชนะ นะค่ะ
  • take  care
  • อยากให้เด็กๆสมัยนี้ โดยเฉพาะหลานๆได้อ่านบทความที่น้ากะปุ๋มเขียนจังเลย
  • บางครั้งวัยของเราก็ทำให้เราไม่สามารถทำได้ดั่งใจ เช่นสายตาที่เป็นปัญหาต่อความว่องไวในการทำงานของพี่

        ...ถึงมีความเพียร...ก็อาจแพ้สังขาร..ค่ะ

น้องกะปุ๋ม..

  • จะตรวจทานแล้วแก้ไขชื่อบันทึกใหม่ไหมคะ

กะปุ๋มค่ะ

ใช้ความพยายามอยู่ในช่วงนี้

พยายามตั้งเป้าหมาย

  • ในการทำงาน
  • ในการกำหนดกิจกรรมแต่ละวัน
  • ในการสลัดความขี้เกียจ (จริง ๆ ต้องเป็นลำดับที่ 1)
  • เพื่อการเพิ่มพลังให้ตนเอง
  • ก็ชนะได้ขั้นหนึ่งแล้ว คือกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกาย  กำหนดการตื่นนอน(อิอิ..เรื่องใหญ่มาก)

 

  • แล้วก็พบว่า เรา สามารถทำได้จริง ๆ (ตอนเริ่มแก่)

อยากขอบคุณทุกครั้งที่เอ่ยถึง

ต่อสู้กันพอสมควร ค่ะ..มันเป็นศรัตรูกัน...ถาวร...ใคร ใครก้อยากขย้นแต่เหมือนกะปุ๋มว่า....ถ้าคววามเพียรแข็งแรง อยู่ตัวความขี้เกียจก้ไม่กล้ามาเยี่ยมกราย...

กำลังคิดอยู่ว่าวันนี้ ความขี้เกียจของเราชนะความขยันรึเปล่า เพราะยังไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้เลยค่ะ แต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ทุกคน ขยันและมีความเพียรนะคะ
เมื่อความเพียรกับความขี้เกียจต่อสู้กัน ผมปล่อยให้เขาสู้กันอย่างเต็มที่ และเป็นกลางอย่างที่สุด โดยเฝ้านอนดูอยู่ห่างๆ หากใครเพลี่ยงพล้ำ ผมก็จะคอยส่งกำลังใจไปช่วย แต่เขาทั้งสองก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกันเหลือเกิน ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ จนเวลาผ่านไปตั้งแต่เช้า จนบ่าย แล้วค่อยลุกขึ้นมาหาอะไรใส่ท้อง.....แล้วค่อยกลับไปนอนดูเขาทั้งสองสู้กันใหม่....อิ อิ...อย่างนี้พอไหวมั้ยครับ คุณกะปุ๋ม
กะปุ๋ม ขา พี่รัตติยา อินบันทึกนี้ตั้งแต่ต้น จนเคลิ้ม ๆ ไปกับบันทึกของกระปุ๋ม แล้วก็ความคิดต่อยอดของอีกหลาย ๆ ท่าน  แต่มาตกม้าตาย ตรงความคิดของคุณไมโตฯ นี่แหละ  มิน่า คุณนิดหน่อย ถึงได้ส่งถ้วยกะตะเกียบให้ เพราะคุณไมโต ช่วยเหลือตัวเองได้เก่งอย่างงี้นี่เอง  อิ อิ

คุณกะปุ๋ม ครับ

ผมว่ามีคำหนึ่งหายไปในเรื่องนี้ คือคำว่า "ชอบ" ที่ควรจะอยู่ท้ายคำว่า "เพียร" เลยอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ครับ เช่น โจรปล้นธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ใช้ความเพียรมาก (แต่ไม่ "ชอบ" ) ในการงัดเซฟจากด้านใต้ฐานเพื่อหนีสัญญาณกันโขมย เขาคงจะใช้ทั้งความรู้และความเพียรมากมาย และไม่แค่ปล่อยให้มันสู้กันเองที่ทำให้เราแพ้อยู่คนเดียวดังที่คุณ ไมโตฯ ล้อคุณเล่น

สุดท้าย ความเพียรทำให้เขาและอีกหลายคนเป็นทุกข์ครับ ไม่สุขอย่างคุณกะปุ๋มหรอก

และคำว่า ชอบ/ไม่ชอบ นี้ subjective มากในสังคมโลก ที่สร้างความขัดแย้งและสับสนมาก ในแทบทุกระบบสังคม แม้แต่ในศาสนาก็ยังมีมากอยู่เลย ไม่ควรมีแต่ก็เป็นธรรมดาของสังคมโลก ที่เราต้องค่อยสะกิดกันไป ใครทำใครได้อยู่แล้วครับ

อยากให้คุณกะปุ๋มชี้ทางให้คนที่อยากแก้ไข (เว้นคนที่ชอบแก้ตัวไว้ก่อน) ว่าเราจะกำจัดความเพียรไม่ชอบ ให้ลดน้อยลงอย่างไร โลกคงจะสวยกว่านี้มากเลยนะครับ

ลืมไปนิดหนึ่ง

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ คนโง่แต่ขยัน มีมากและกำลังทำลายโลกและสังคมในขณะนี้

เขาทั้งเพียรทั้งขยันเลยครับ เราควรจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเจอแบบนี้

 ผมเจอมากแต่ยังไม่มีวิธีแก้ไขครับ

  • เห็นด้วยกับ ดร.แสวง ครับ ว่าความเพียร มีทั้งแบบที่ชอบ และไม่ชอบ สิ่งที่ควรสนับสนุนให้คงอยู่คือความเพียรชอบ ส่วนความเพียรไม่ชอบ เป็นเรื่องของความพยายามที่ควรจำกัดวงไว้ ให้ลดลง
  • คนโง่แต่ขยัน เป็นสิ่งที่น่ากลัว ครับ แต่ในความเห็นของผม เรื่องนี้ยังขึ้นกับปัจจัยส่วนบุคคลอยู่ครับ ว่าโง่แล้วยังสอนให้พัฒนาได้หรือไม่ ถ้าโง่(ไม่รู้) แล้วเรายังสอนให้รู้ได้ และเขายอมรับที่จะรู้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่เขาจะกลายเป็นคนไม่โง่และมีความเพียร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะสนับสนุน แต่ถ้าโง่แล้วยังอวดโง่ และไม่รับรู้ ไม่พัฒนา เปรียบเสมือนน้ำที่เต็มตุ่ม แล้วยังขยันที่จะอวดโง่อยู่ เราควรกำจัดวงให้เขาได้อวดความโง่ของเขาอยู่ให้วงจำกัดครับ อย่าให้มาทำเสียหายหรือขายหน้าข้างนอก เรื่องนี้จะยิ่งซับซ้อนขึ้น ถ้าคนโง่แล้วขยันเหล่านี้ได้ออกมาเป็นผู้บริหารในวงกว้าง ถ้าเป็นผู้บริหารในแวดวงธุรกิจ ในเวลาไม่นานธุรกิจของเขา ก็จะรอวันปิดตัวเอง แต่ถ้ามาเป็นผุ้บริหารในรัฐกิจ เขาจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ให้กับกิจการของรัฐ อย่างน้อยที่สุด คือการไล่คนเก่ง คนดี คุณที่มีคุณค่า ออกไปจากหน่วยงาน ถ้าไม่ถึงขนาดนั้น สิ่งที่เขามักทำคือการลดทอนกำลังใจในการทำงานของคนที่ตั้งใจทำงานลง
  • ถ้าแยกเรื่องความรู้ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือความรู้ในงานที่ทำ กับส่วนที่สอง เป็นความรู้ในการบริหารงาน เราจะพบว่า มีอยู่ไม่น้อย ที่เป็นคนฉลาดในงานที่ทำ หมายถึงมีความรู้มาก เก่งในงาน แต่อาจเสมือนคนไม่รู้อะไรเลยในการบริหารคน แล้วยังมีตำแหน่งใหญ่โตในหน่วยงานต่างๆ แถมยังขยันอีกด้วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าสมควรแก้ไขอย่างไร
  • อ่านข้อคิดเห็นของคุณ Mitochondria และ ท่าน ดร.แสวง แล้วรู้สึกมองเห็นภาพพจน์ของ"ความพียรชอบ", ความเพียรไม่ชอบ" และอื่นๆค่ะ
  • ใคร่เรียนถามทั้งสองท่านว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อความนี้ค่ะ...เขาบอกว่า..."ผู้บริหารบางคน....ชอบที่จะให้ลูกน้องทะเลาะกัน...เพราะมันทำให้ลูกน้องแย่งกันทำงาน (เอาหน้า)"
  • ขอบคุณค่ะ

น้องกะปุ๋ม"คนขยัน"

  • เช้าวันนี้หายไปไหนคะ...พี่เตรียมJOKEไว้ให้ทาน..ไม่แวะมาทานจนมันเย็นหมดแล้ว..

      (....หรือแอบมาทานแล้วไม่อร่อย...พี่จะได้ปรุงน้ำซุบใหม่)

อ.กฤษณาคะ

  • ทำโจ๊กหมู ไก่ หรือ Joke อะไรค่ะ
  • กะปุ๋มคงทานโจ๊กปลาค่ะ
  • เพราะทานมื้อเดียวแล้วไม่ทานสัตว์ใหญ่
  • ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ให้ sompornp ก็แล้วกัน อย่าลืมไข่สุก ๆ เยอะ ๆ ด้วยค่ะ จะได้มีรสชาด เข้มข้นและอร่อย
  • ปรุงแต่เช้า หรือ สาย หรือ บ่าย หรือ ดึก ก็ได้ sompornp จะตามไปได้ทุกเวลา

ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านนะคะ..

ที่แวะมาเยี่ยมเยือนและทักทาย...

...........................

วันนี้กะปุ๋ม..ไปเยี่ยมทีม To be number one & Friend Corner โรงเรียนนครขอนแก่นคะ...ซึ่งเราจะไปร่วมงานที่งานมหกรรม KM 1-2 ธันวามคมที่จะถึงนี้คะ...

แล้วกำลังจะไปวิ่งที่บึงแก่นนครคะ...เดี๋ยวดึกๆ..จะเข้ามาใหม่นะคะ...

(^______________^)

กะปุ๋ม

ตอบตุณกฤษณา สำเร็จ

การยุให้คนอื่นทะเลาะกัน แล้วให้ได้งานมากกว่าเดิม เป็นวิธีการที่อาจจะฉลาดไปอีกแบบหนึ่ง ผมพบบ่อย แม้ในสามก๊กก็มีพูดถึง อาจดูไม่ค่อยเรียบร้อยและสงบสุขนัก แต่ก็อาจจะเป็นความเพียรที่อาจได้ผลถ้ามีการควบคุมสถานการณ์ให้ได้ โดยกลอุบายไม่แตกเสียก่อน

ที่ผมเป็นห่วงมากกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่รู้ (แล้วมักคิดว่าตัวเองรู้ แบบกบในกะลา)  แล้วเป็นคนขยันขึ้นมา และทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายนะครับ และก็เป็นเพียรชอบในความรู้สึกเขาซะด้วยครับ

ตรงนี้อยากฟังคุณกะปุ๋มเสนอทางออกครับ

ลองไปอ่านใน วังวนความไม่รู้ ของผมก็จะได้รับรายละเอียดมากกว่านี้

 

เรียน...ท่าน ดร.แสวง

กะปุ๋ม...ต้องกราบขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่มาช่วยเติมให้ในเรื่อง "ความเพียรชอบ"...เพราะตอนที่เขียนไปนั้น..กะปุ๋มคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่พึงชอบทำอยู่แล้ว...เลยลืมนึกไปถึง "ความเพียรไม่ชอบ"...

...

ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ดังที่อาจารย์ว่านั่นแหละคะ...คนไม่รู้ แต่ทำเป็นอวดรู้...หรือเพียรในสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นอันตราย...ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยิ่ง...และเขาเหล่านั้นก็หลงไปในวังวน...แห่งความไม่รู้อันมืดบอดของตน..ใครเตือน..ใครเสนอ...ก็หาที่จะสดับรับฟังไม่...แต่ดันไปโกรธให้คนที่มาเตือนมาบอก...

...

และเป็นที่น่าสังเกตว่าคนเหล่านี้...มักคิดว่าตนนั้นถูกต้องเสมอ... และยากที่จะโน้มตัวลง...อย่างอ่อนน้อม..พร้อมฟังคนอื่น...คิดและทำอย่างหลง...หลงไปในทางที่คิดว่าตนถูก...เราจึงมักมองเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่รอบด้านเสมอ...

ขอบคุณคะ

กะปุ๋ม

คุณกัลปังหาคะ...

ขอบคุณมากนะคะสำหรับ

“ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์”
พระราชปรารภ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก

....

ซึ่งท่าน ดร.แสวงท่านได้มาอธิบายต่อได้อย่างสอดคล้องและสมบูรณ์ ซึ่งไปในแนวทางพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว...ท่านตรัสไว้...

....ความเพียรที่บริสุทธิ์...ก็คือ ความเพียรชอบ ที่เราพึงทำ ที่ก่อประโยชน์ทั้งต่อตนเอง..และผู้อื่น ไม่เบียดเบียนและทำให้ทั้งตนและผู้อื่นเดือดร้อน..

และหากเมื่อตนเดือดร้อน..นั่น..อาจต้องมาพิจารณาแล้วว่า...ความขยันเพียรนั้น เป็นเรื่องที่เราพึงเพียรชอบแล้วหรือยัง...

ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความพอดี พอดี...

(^_____^)

ขอบคุณมากนะคะที่แวะมาเติมเต็มให้คะ

กะปุ๋ม

พี่ติ๋ว..คะ

กะปุ๋มไม่ได้หายไปไหนหรอกคะ...ยังอยู่..คะ

และแวะ..ดมกลิ่น JOKE จากพี่ติ๋ว...อยู่เป็นประจำคะ

...

คิดถึงนะคะ...หากสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ได้ตักตวงไปได้อย่างเต็มที่เลยนะคะ...

*^_______^*

กะปุ๋ม

พี่อึ่งอ๊อบคะ...

จะทำอะไร..ก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่บนฐานแห่งความพอดี..และไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน...

มากไปก็ไม่ดี

น้อยไปก็ไม่ดี..

ดังนั้น...

จึงควรแบบพอดี พอดี...นะคะ

(^_________^)

เป็นกำลังใจให้นะคะ

แล้วอย่าลืมมาเล่าแลกเปลี่ยนกันนะคะ 

กะปุ๋ม

พี่จิ๊บคะ...พี่ใบบุญ..และพี่รัตติยา คะ

(คุยพร้อมกันเลยนะคะ...อิอิ)

สิ่งไหนที่เราทำเป็นประจำๆ...ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความเคยชิน...เมื่อเคยชิน เราก็จำทำอย่างคุ้นเคยคะ...

พอคุ้นเคยแล้ว...ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราคะ...เหมือนกับว่า.."เราต้องหายใจประมาณนั้นแหละคะ..."...

ขอบคุณนะคะที่แวะมานั่งคุยกัน ณ บ้านน้อยหลังนี้...อิอิ

(^_________^)

กะปุ๋ม

โอ้โห!!!..ลืมชวนชายหนุ่มมานั่งคุยด้วยกับสาวๆ...ไม่เป็นไรนะคะ คุณไมโต...แต่กะปุ๋มอ่านความเห็นของคุณไมโตแล้วเป็นปลื้มคะ...

ช่างเติมเต็มและต่อยอดทางปัญญา...ต่อจากท่าน ดร.แสวง ได้อย่างดียิ่ง...กะปุ๋มว่าประโยชน์นี้ก่อเกิดแด่ท่านผู้อ่าน..เป็นแน่แท้...

.....

ขอบคุณนะคะ

(^_____________^)

กะปุ๋ม

เรียนคุณกฤษณา
สำหรับประเด็นผู้บริหารชอบยอบทำให้ลูกน้องทะเลาะกันเพื่อแย่งกันทำงานเอาหน้านั้น ผมมีความคิดเห็นดังนี้ครับ
  • ผู้บริหารท่านนั้นถือเป็นคนใจแคบครับ เพราะมองเห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก แทนที่จะยึดถือประโยชน์ของหน่วยงานเป็นหลัก
  • การยุให้ลูกน้องทะเลาะกัน เพื่อให้ปกครองได้ง่าย หรือจะเพื่อให้แย่งกันทำงานประจบก็ตามแต่ ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้องของการบริหารงานที่ดี นานวันจะบั่นทอนกำลังใจของผุ้ตั้งใจทำงานให้ลดลง และเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถประจบประแจงโดดเด่นขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียต่อหน่วยงานโดยตรง และไม่อยู่ในวิสัยของการเป็นผู้ปกครองที่ดี สมควรอย่างยิ่งที่ลูกน้องควรปฏิเสธวิธีการปกครองอย่างนี้โดยสันติครับ
  • ปัญหาที่ต้องตรองไว้ก่อนคือ ลูกน้องส่วนใหญ่ เล่นตามเกมที่ถูกผุ้บังคับบัญชาวางเกมไว้ หรือมีสติ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นครับ ถ้าส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจ มุ่งแต่จะทะเลาะกันตามเรื่องราวที่ได้รับฟังมา ก็ถือเป็นโชคร้ายของผุ้ร่วมอยู่ในหน่วยงานครับ แต่ถ้าส่วนใหญ่ยังมีสติ รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การตอบโต้อย่างสันติ สามารถทำได้ครับ อย่างเช่น
     - เมื่อได้รับฟังข้อมูลมา อย่าเพิ่งเชื่อ ให้สอบถามกันก่อนว่าใครได้ฟังอะไรกันมา ซึ่งก็จะรู้ว่าข้อมูลถูกบิดเบือน เพื่อเจตนาให้คนทะเลาะกัน เมื่อเข้าใจที่ไปที่มา คนก็จะไม่ทะเลาะกันครับ
     - เผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้น ภายในหน่วยงานออกไปภายนอกหน่วย ให้คนภายนอกหน่วยรับรู้ว่า ในหน่วยงานมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องใส่ไข่ครับ เล่าความจริง บอกให้คนข้างนอกรุ้ ซึ่งไม่ต้องสนใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ปล่อยให้เป็นวิจารณญานของเขาในการตัดสินว่า สมควรเชื่อเราหรือไม่ เพราะเหตุการณ์เดียวกันในหน่วยงานนี้ จะมีคนเล่าในอีกแง่มุมอยู่แล้ว เรามีหน้าที่ที่ต้องเสนอความจริงครับ ส่วนผุ้ฟังเป็นผู้พิจารณาเองว่าสมควรเชื่อใคร หากเราไม่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะไม่มีใครทราบเรื่องราวที่แท้จริงครับ เพราะเรื่องเดียวกันนี้จะถูกบิดเบือนจากการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเพื่อประโยชน์ของใครบางคน
     - อดทนรอคอยรุ่งอรุณของวันใหม่โดยสงบครับ
เรียน ดร.แสวง
  • ผมจำได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหนสักที่ ที่บอกว่า นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า ทหารในกองทัพกลุ่มแรกที่ต้องกำจัดทิ้ง คือพวกที่โง่แล้วก็ยังขยันครับ

เรียน ท่านอ.ดร.แสวงค่ะ

  •  "คนที่ไม่รู้ (แล้วมักคิดว่าตัวเองรู้ แบบกบในกะลา)  แล้วเป็นคนขยันขึ้นมา และก็เป็นเพียรชอบในความรู้สึกเขาซะด้วย" มีจริงๆด้วยค่ะ...ตอนนี้หลายๆคนได้แต่นั่งเศร้าใจ...เพราะหัวหน้างาน..เอากะเขาเสียด้วย.....เสียดายความรุ่งโรจน์ที่ได้ฝ่าฟันกันมา
  • ขอบคุณท่านที่ให้ข้อคิดที่ดียิ่งค่ะ

เรียน...คุณMitochondria ค่ะ

  • "บั่นทอนกำลังใจของผู้ตั้งใจทำงานให้ลดลง และเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถประจบประแจงโดดเด่นขึ้น"....มีจริงๆค่ะ...พูดได้...ยังกับมีตาทิพย์แน่ะ...
  • ตอนนี้มีแต่ความวุ่นวาย...เพราะพวกกบในกะลากำลังมั่ว...ซึ่งเป็นผลเสียต่อหน่วยงานโดยตรงหรือไม่....รอเวลาพิสูจน์ค่ะ...
  • พฤติกรรมตอนนี้ของลูกน้องคือ...ถอยหลังคนละหนึ่งก้าว...ไม่มีการ creative งาน(ซึ่งแต่ก่อนนั้นมีมากมาย..โดยไม่ต้องร้องขอ...เขาเบื่อกัน)....."ตอนนี้...ลูกน้องปฏิเสธวิธีการปกครองอย่างนี้โดยสันติแล้วค่ะ"
  • ขอบคุณ..คุณMitochondriaเป็นอย่างสูงค่ะ...ที่ให้ข้อคิด...ได้เปิดหูเปิดตา...กบนอกกะลา..อย่างดิฉัน
  • ขอบคุณ..น้องกะปุ๋ม ค่ะ...ที่เปิดประเด็นอันเกิดประโยชน์แก่พี่อย่างยิ่ง...คิดถึงกะปุ๋มเสมอค่ะ..."คนขยัน"

เข้ามา..ก่อนเดินทางไป กท. ร่วมงานมหกรรม KM แห่งชาติ...ในวันที่ 1-2 ธ.ค. นี้..

ขอบคุณท่าน ดร.แสวง...คุณไมโต...และพี่ติ๋ว และกัลยาณมิตรทุกท่านมากนะคะ..ที่มาช่วยเติมเต็มมากๆ...ในเรื่องนี้...

....

(^__________^)

กะปุ๋ม

ขอบคุณมากสำหรับปั่นแปลกๆ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดี ขอบคุณสำหรับวิธีการเดินรอบบึงไม่ให้เหนื่อย ขอบคุณคะ +_+ ซึ้งน้ำไหล ไฮโซ มากมาก

ค้น google ไปมาก็พบบันทึกนี้ครับ

เป็นการเริ่มต้นค้นหาแนวคิดวิธีแก้ความขี้เกียจ ไม่สู้งานครับ

สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ สมัยก่อนก็ว่าเราขยัน แต่เมื่อมาถึงระดับหนึ่งกลายเป็นขี้เกียจ

น่าจะเป็นเพราะการจะเดินไปต่อในสภาวะนี้นั้น คงต้องการ

ความเพียร และขันติที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่แบบโลกๆอีกต่อไป

แต่ต้องเพียรและอดทนมากๆๆ

ขอบคุณครับ

^_^

ก่อนนิทรารมย์

พี่กะปุ๋มจ้ะ ... ฮีโร่ปูเคยกล่าวว่า

เก่งไม่กลัว กลัวขยัน ... ยังจำแม่น

ฝันดี ขอบคุณค่ะพี่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท