ความสุขจากการให้อภัย


ให้พร่ำสอนตัวเองว่า อะไรที่เกิดขึ้นแต่ละเวลานาทีเป็นเหมือนรอยที่ขีดไปบนผิวน้ำ อย่าให้เป็นเหมือนรอยมีดที่กรีดไปบนหิน เพราะถ้ากรีดไปบนหิน กรีดไม่ถูกใจ จะลบทิ้งก็ลบไม่ได้

          พ่อของดิฉันเป็นคนใจเย็นมากๆ เท่าที่จำได้แทบจะไม่เคยเห็นพ่อโกรธใครเลย อาจจะเป็นเพราะพ่อบวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก จนเป็นมหาแล้วถึงสึกออกมาสอบรับราชการ สร้างครอบครัว ตอนเด็กๆ พ่อจะทุ่มเทเวลาดูแลลูกๆ เพราะแม่เป็นคนขยันทำมาหากิน แม่มีอาชีพค้าขายจึงไม่ค่อยมีเวลาซักเท่าไร

          บ้านของเราในวัยเด็กเป็นบ้านพักข้าราชการ ตกเย็นพ่อจะพาลูกๆ ทั้ง 5 คน ปลูกดอกไม้, ปลูกผักสวนครัว, รดน้ำพรวนดิน  ทุกคนจะมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ และจะทานข้าวมื้อเย็นพร้อมกันทุกวัน หลังจากนั้น พ่อจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือนิทานธรรมะให้ฟัง 1 เรื่อง ก่อนแยกย้ายกันไปทำการบ้าน, อ่านหนังสือตามมุมของแต่ละคน ทุกคนจะต้องมีโต๊ะหนังสือของตนเองและต้องเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พ่อก็จะอ่านหนังสือ "สรรพากรสาส์น" ซึ่งเป็นหนังสือโปรดและคงจะเกี่ยวกับหน้าที่ในตำแหน่งสรรพากรของพ่อด้วย จนกว่าลูกคนสุดท้ายเข้านอนพ่อถึงจะเข้านอน

          ตอนเด็กๆ ดิฉันเป็นคนขี้งอนมากๆ โกรธง่าย ดังนั้น พ่อจึงพร่ำสอนอยู่เสมอให้รู้จักให้อภัย อย่าถือโกรธ จะทำให้เราไม่หนักอกและอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งช่วงนั้นดิฉันคงยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เมื่อมาทำงานต้องเกี่ยวข้องกับคนมากๆ พบปัญหาที่เกิดจากคนหลากหลาย ทำให้ดิฉันใจเย็นลง คิดถึงคำสอนของพ่อและฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง โดยเฉพาะเมื่อเราได้ประสบกับเหตุการณ์ที่แสดงอารมณ์รุนแรงหรือคำพูดที่ไม่ควรพูดออกไป แล้วสิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจเราเอง ยิ่งทำให้เราต้องฝึกสติมากขึ้น ฝึกห้ามไม่ให้แสดงสิ่งที่ไม่ควร, ฝึกให้อภัยทั้งตนเองและผู้อื่น ฝึกไม่ให้คิดคร่ำครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ฝึกให้คิดแก้ไขปรับปรุงแทน เหมือนที่อาจารย์ พญ.อมรา มลิลา เขียนไว้ว่า

         "ให้พร่ำสอนตัวเองว่า อะไรที่เกิดขึ้นแต่ละเวลานาทีเป็นเหมือนรอยที่ขีดไปบนผิวน้ำ อย่าให้เป็นเหมือนรอยมีดที่กรีดไปบนหิน เพราะถ้ากรีดไปบนหิน กรีดไม่ถูกใจ จะลบทิ้งก็ลบไม่ได้ ทำอะไรไปแล้วให้รู้สึกเหมือนเราเขียนไปบนน้ำ พอเขียนเสร็จ ผิวน้ำเคลื่อนไหวทุกอย่างก็ลบหมดเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรค้างคาอยู่เลย ฝึกใจของเราให้เป็นอย่างนั้นให้ได้ เมื่อใจของเราไปนึกถึงอะไรที่เป็นเรื่องแล้วไปแล้วเก็บเอามาคร่ำครวญหรือเอามาดีใจ เสียใจ ให้ถอนจิตของเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน พูดก็ฟังดูง่าย แต่เวลาทำจริงๆ ใจจะไม่ยอมเสียเฉยๆ แต่ถ้าจดจ่อเอาจริง ก็ไม่ยากเกินความเพียรพยายามฝึกฝืนเอาไว้เรื่อยๆ นานไปก็จะกลายเป็นนิสัย"

         

หมายเลขบันทึก: 63254เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2006 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 10:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ก่อนนอนมอมอย่าลืม อะหังสุขิโตโหมิ...................

และต่อด้วย สัพเพ  สัตตา พร้อมคำแปล

สั่งตัวเองและนำพระเข้าตัวเอง (  หลวงพ่อบอก)คือสวดมนต์ภาวนา     นานๆเข้าคงดีขึ้นเรื่อยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท