ผู้เขียนมีเรื่องเล่าของนักศึกษาคนหนึ่ง ที่เค้าได้เล่าความในใจให้ผู้เขียนฟังในฐานะอาจารย์สอนหลักสูตรสัคคสาสมาธิ ณ เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี..
..
เขาบอกว่า..เขาติดคุกมาตั้งแต่ปี'49 เจอ 3 คดี โทษจำคุก 34 ปี ใช้ชีวิตอยู่ในคุกมาแล้ว 3 เรือนจำ
และตอนนี้เขาใกล้พ้นโทษแล้ว รออภัยโทษอีกครั้ง เขาก็จะได้กลับบ้าน...ได้กลับไปหาแม่
..
เขาคิดเสมอว่า...
เมื่อออกจากคุกไปแล้ว เขาจะบวชให้แม่(แม่อายุ60ปี และแม่ป่วยเป็นมะเร็ง)
..
แม่ได้พูดกับเขาเสมอว่า..
"แม่จะรอลูกกลับบ้าน"
แม่บอกว่า "ชีวิตของแม่นั้น แม่อาจอยู่ดูโลกใบนี้ได้ไม่นาน แต่แม่ก็จะรอลูกของแม่ก่อนเสมอ"
..
..
แม่ของเขาเลิกกับพ่อ ตอนเขาอายูยังน้อย และแม่ก็แต่งงานใหม่อยู่กับพ่อคนใหม่
แต่บัดนี้พ่อใหม่ของเขานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา..เขามีพี่น้อง 4 คน และเขาเป็นคนสุดท้อง
..
ตัวเขาเองมีเมียและลูก 1 คน ระหว่างที่ถูกจองจำ.. เขาได้เขียนจดหมายหาลูกตลอดมา
และทุกครั้งที่เขียนไป ไม่เคยมีจดหมายตอบกลับมาหาเขาเลย...สักฉบับเดียว
..
มีแต่แม่คนเดียวเท่านั้น... ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเขาเสมอ.. ตลอด ระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
..
สิ่งนี้เองทำให้เขาคิดมาก..และคิดฟู้งซ่าน เคยคิดแม้กระทั่งการฆ่าตัวตายให้มันจบสิ้นไป
..
เวลาที่เหลืออยู่นั้น..เขาใช้มันให้หมดไปวัน ๆ ด้วยการซ่อมอวนและอ่านหนังสือ...จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" เมื่อเขาอ่านจบ...ทำให้เขามี"สติ" และสติตัวนี้เองที่ทำให้เขารู้ได้ว่า "ชีวิตที่เหลืออยู่นั้น..เขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร?"
..
หลังจากวันนั้น...
เขาก็อ่านหนังสือธรรมะเรื่อยมา เมื่ออ่านหนังสือธรรมะแล้ว..ก็เริ่มสวดมนต์..การสวดมนต์ทำให้จิตใจของเขาสงบและเย็นลง
และทำให้เขารู้ว่า "คนเรานั้น...พบกัน..อยู่กัน..ก็เพื่อจากกัน... ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
..
ทุกครั้งที่เขาสวดมนต์...เขาจะอธิษฐานจิตให้แม่ของเขาเสมอ
คำอธิษฐานที่เขาอธิษฐานคือ "ขอให้แม่อยู่รอวันที่ผมออกไปจากคุก และขอให้ได้บวชตอบแทนพระคุณแม่"
..
และเขายังเล่าต่ออีกว่า...
เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง .. เป็นคนกรุงเทพฯ(ถูกตัดสินจำคุก 17 ปี)เพื่อนคนนี้ชอบสวดมนต์และนั่งสมาธิ
เพื่อนเคยพูดกับเขาว่า"คนเรานั้น เวลาตายก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง นอกจากความดีและความชั่ว เท่านั้น"
..
และชีวิตที่เหลืออยู่นั้น..เพื่อนยังบอกอีกว่า..."ขอแค่ให้เป็นคนดีก็พอ..ให้ทำความดี หนีความชั่วให้เยอะ ๆ "
..
แต่ตอนนี้ เพื่อนเขาคนนี้ได้ตายจากเขาไปแล้ว ที่คุกแห่งนี้
..
เพื่อนคนนี้..เค้าโชคดีที่ได้เรียนสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ฯ
..
สมาธินั้น ทำให้จิตใจเขาสงบ
..
เพื่อนคนนี้..ยังเคยพูดอีกว่า..."สมาธิ!! ทำไปตะ..ความดีทั้งนั้น"
..
และก่อนที่เพื่อนเขาจะตาย ..วันก่อนตายเพื่อนเขาได้นั่งสมาธิและรู้สึกแน่นหน้าอก ตัวเขาเองเป็นคนประคองเพื่อนคนนี้ไปหาเจ้าหน้าที่เรือนจำ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล
...
เมื่อหมอที่โรงพยาบาลตรวจแล้วบอกว่า..ไม่เป็นอะไรมาก ก็ส่งตัวเพื่อนกลับเข้าเรือนจำดังเดิม
ในวันที่เพื่อนตายนั้น เขาได้กินข้าวเช้าแล้วก็ไปนั่งสวดมนต์ และขณะสวดมนต์อยู่นั้น..เพื่อนก็สลบไป มารู้อีกที ..เพื่อนคนนี้ก็เสียชีวิตแล้ว
..
เมื่อเพื่อนตาย...ทำให้เขาได้ข้อคิดอีกว่า..."ชีวิตคนเรานั้น มันไม่แน่นอนจริง ๆ วันพรุ่งนี้ เราจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า...ก็ไม่รู้"
..
การที่เขาได้มาเรียนสมาธินั้น ทำให้เขารู้ว่า...บาป-บุญ คุณ-โทษ มีอยู่จริง
ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า
เวลานี้..ตอนนี้...เขารู้แล้วว่า...
"ความสุขที่แท้จริงนั้น...มันไม่ใช่อยู่ที่ไหนหรอก
ความสุขมันอยู่ที่ใจของเรา...ใจของเราที่ได้ทำสมาธิ
ยิ่งทำ.. ก็ยิ่งสุข"
..
และเขาให้สัญญาว่า...เขาจะทำสมาธิเรื่อยไป...จวบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
..
เขาจะเป็นคนดี..เขาขอสัญญาต่อหน้ารูปพระอาจารย์หลวงพ่อฯ
และขอให้อาจารย์ มีความเจริญในทุก ๆ ด้าน...
ขอขอบคุณที่อาจารย์ให้โอกาสเขาได้พูดในวันนี้
ด้วยความเคารพรักอย่างยิ่ง
.....ลงชื่อ.....
เห็นมั้ยครับว่า…ความในใจของผู้ชายคนหนึ่งที่เขารู้สึก ณ เวลานี้ เป็นเช่นไร?
..
ผู้เขียนอยากให้หันกลับมาสะท้อนถึงสัจธรรมข้อหนึ่งครับว่า..
..
“ชีวิตคนเรานั้น..มันไม่แน่นอนจริง ๆ
วันพรุ่งนี้..ไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!!
สมาธิที่เราเรียนนี่แหละ!! ทำไปเถอะ!! …ความดีทั้งนั้น”
..
..
และเมื่อถึงวันนั้น…เราจะไม่เสียใจเลยว่า
ความดีนั้น…มันไม่ได้ซ่อนอยู่ที่ไหนหรอก
<p>ความดีนั้น…มันซ่อนอยู่ที่ “ใจ” ของเรา..นี่เอง!! </p><p></p>
ชีวิตคนเรานั้น..มันไม่แน่นอนจริง ๆ วันพรุ่งนี้..ไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า