ชมรมรุ่นสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดค่ายความรู้นี้พี่ให้น้องครั้งที่ 15 จัดขึ้นระว่างวันที่ 18 – 21 พฤษภาคม พ.ศ 2560 ณ โรงเรียนบ้านหนองมะเขือ ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ภายใต้วัตถุประสงค์หลัก คือ ส่งเสริมให้นิสิตได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการพัฒนาตนเองและสังคมผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตรในแบบค่ายอาสาพัฒนา
ค่ายครั้งนี้ใช้เวลา 3 คืน 4 วัน ทว่ามีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบมาก เรียกได้ว่าครบทั้ง 4 ด้าน (4 In 1) นั่นคือครบทั้งด้านวิชาการ ด้านบำเพ็ญประโยชน์/สิ่งแวดล้อม ด้านกีฬาและนันทนาการ ตลอดจนด้านศิลปวัฒนธรรม แถมยังเป็นกิจกรรมที่เน้นแนวคิด “เรียนรู้คู่บริการ” และการมีส่วนร่วมในแบบ “บวร” อย่างเสร็จสรรพ ยกตัวอย่างเช่น -
นี่ยังไม่รวมถึงการมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนและกีฬา หรือแม้แต่กิจกรรมปรับภูมิทัศน์โรงเรียน บ้าน วัด (บวร) รวมถึงกิจกรรมปลีกย่อยอื่นๆ ที่กล่าวถึงยังไม่หมด
เรียกได้ว่าวันเวลาเพียง 3 คืน 4 วันอบอวลด้วยการงานอันแสนสาหัสหนักหน่วง และเต็มไปด้วยความท้าทายในวิถีจิตอาสาเป็นที่สุด
แกนนำค่ายบอกเล่ากับผมว่า เหตุผลที่เลือกจัดกิจกรรมขึ้นที่โรงเรียนบ้านหนองมะเขือ ประกอบด้วยเหตุผลหลักคืออยู่ไกลจากตัวอำเภอ กอปรกับในอดีตโรงเรียนแห่งนี้เคยถูกยุบไปแล้วครั้งหนึ่ง เพิ่งจะกลับมาเปิดทำการเรียนการสอนได้ไม่นาน นิสิตเชื่อว่าหากไปจัดกิจกรรมขึ้นที่นี่ โดยใช้หลักคิดการมีส่วนร่วมของชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน บางทีอาจเป็นประหนึ่งพลังเล็กๆ เกื้อหนุนให้ผู้เกี่ยวข้องมีกำลังใจในการพัฒนาโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้มาตรฐานและหยัดยืนอยู่ต่อไปได้ ---
และอีกหนึ่งเหตุผลคือเป็นโรงเรียน หรือชุมชนบ้านเกิดของสมาชิกในชมรม ซึ่งผ่านการพิจารณาร่วมกันโดยเทียบเคียงกับหลายๆ พื้นที่แล้วว่า “เหมาะสม”
โรงเรียนบ้านหนองมะเขือ เปิดสอนระดับอนุบาลจนถึงประถมปีที่ 6 ปัจจุบันมีครู 6 คน นักเรียนประมาณ 60-70 คน เรียกได้ว่าจำนวนนักเรียนกับจำนวนพี่นิสิตที่ไปค่ายในราวๆ 70 คนก็สมดุลลงตัวพอเหมาะพอดี สามารถประกบตัวต่อตัวกับนักเรียนได้อย่างไม่ยากเย็น
ในทางกระบวนการของการทำงานนั้น กลุ่มงานด้านวิชาการจะเปิดรับสมัครทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นนิสิตในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์เสมอไป ใครชอบใครถนัดก็อาสาเข้ามาทำงานได้เลย
ต่อเมื่อจัดกลุ่มสาระวิชาได้แล้วก็ให้ค้นคว้าข้อมูล ออกแบบการจัดการเรียนรู้ร่วมกันในทีม จากนั้นนำมาเสนอต่อที่ประชุมเพื่อให้ร่วมพิจารณา"กลั่นกรอง" และ “ตบแต่ง” ให้เหมาะสมต่อการนำไปจัดการเรียนรู้ตามช่วงวัยของน้องๆ นักเรียน
เอาตามจริงเลยนะ – ผมชอบนะวิธีการเช่นนี้ เหมือนทำงานบนหลักคิด “มนุษยนิยม” ยังไงยังงั้น เป็นกระบวนทัศน์ที่เชื่อว่าคนทุกคนมีความรู้มีความสามารถ คนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ทั้งในระบบและนอกระบบ สัมพันธ์กับความเชื่อที่ว่า “งานจะออกมาดีก็ต้องเริ่มจากงานที่ตนเองรักและถนัด”
กระบวนการเช่นนี้เหมือนให้นิสิตได้พัฒนาตัวเองผ่านกระบวนการที่นิสิตต้องออกแบบเอง แต่ทีมหลักของชมรมรุ่นสัมพันธ์ก็มิได้ละเลยเพิกเฉย ตรงกันข้ามกลับมีทีมหลักอีกชุดหนึ่งที่มีประสบการณ์ หรือมีความรู้ในเรื่องการจัดการเรียนรู้ โดยเฝ้ามอง รอตรวจทาน และรอแนะนำอยู่อย่างเงียบๆ
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมชื่นชอบมากก็คือการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งก็ตรงตามเป้าหมายที่นิสิตปรารถนาให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนอย่างจริงจังมากขึ้น กล่าวคือชาวบ้านจะสนับสนุนข้าวปลาอาหารอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละเช้าจะเอาพืชผักมาให้ หรือไม่ก็พานิสิตไปจับปลาตามห้วยหนองคลองบึงมาประกอบอาหาร เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ - สิ่งเหล่านี้ คือการสอนชีวิตแก่นิสิตไปในตัวด้วยเช่นกัน
ครั้นตกดึกมีกิจกรรมภาคกลางคืนชาวบ้านก็จะออกมาร่วมและเฝ้าคอยดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับนิสิต – หรือหากต้องใช้พาหนะขนย้ายสิ่งของใดๆ ชุมชนก็จะขันอาสาเป็นเจ้าภาพให้นิสิตอย่างไม่อิดออด - สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็นภาพอันงดงามของการทำงานแบบมีส่วนร่วม ซึ่งใช่ว่าจะค้นพบได้ในทุกค่ายที่นิสิตไปออกค่าย
และเชื่อเหลือเกินว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยถักทอสายสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียนให้กระชับแน่นมากกว่าที่ผ่านมา ...
หรือในอีกมิติหนึ่งที่ผมชอบมาก นั่นก็คือการระดมทุนการศึกษาผ่าน “รำวงชาวบ้าน” เป็นการเรียกเงินออกจากกระเป๋านิสิตและชาวบ้านเพื่อนำมาเป็นทุนการศึกษาส่งมอบให้กับน้องๆ นักเรียน กิจกรรมเช่นนี้ได้สัมผัสทั้งการทำนุบำรุงศิลปะการแสดงในแบบวิถีไทยและการเสียสละทรัพย์ต่อผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
หรือกระทั่งกิจกรรมการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้าของวันสุดท้ายก็น่าสนใจ เนื่องจากนิสิตชาวค่ายได้ทำ “ข้าวหม้อใหญ่” ไปทำบุญตักบาสจตรที่วัด เป็นการทำบุญร่วมกับพ่อฮักแม่ฮักและชาวบ้านคนอื่นๆ มีการ “ฟังเทศน์” ร่วมกัน รับประทานอาหารร่วมกัน ทำให้ศาลาวัดกลายเป็นเสมือนลานโสเหล่-ลานวัฒนธรรมของการพบญาติไปโดยปริยาย - เป็นอีกภาพที่สะท้อนให้เห็นวิถีวัฒนธรรมความเป็นไทยในวิถีพุทธที่ถูกบูรณาการอย่างลงตัวในค่ายอาสาพัฒนาตามแบบฉบับ “เรียนรู้คู่บริการ”
ในมุมของอุปสรรคปัญหา – เท่าที่พูดคุยกับนิสิตแกนนำก็ยังไม่พบปัญหาใหญ่ๆ อะไรมากมายนัก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความร่วมมือของทีมงานและความร่วมมือของชุมชนกระมั่งที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ไปในตัวอย่างเนียนๆ และเท่าที่พบก็สะท้อนประมาณว่า ค่ายครั้งนี้ขาดแคลนกำลังคนที่เป็นนิสิตชาย เนื่องจากส่วนใหญ่ที่ไปค่ายจะเป็นผู้หญิง ครั้นต้องใช้พละกำลังเคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ จึงสะดุดเป็นครั้งคราวไป
หรือในอีกประเด็นก็คือความล่าช้าของการจัดทำลาน BBL เนื่องจากในการลงพื้นที่หารือ (พัฒนาโจทย์) มีโอกาสได้พบปะกับผู้อำนวยการเป็นส่วนใหญ่ การกำหนดพื้นที่ หรือตำแหน่งยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดไปยังคณะครู หรือคนอื่นๆ ครั้นถึงเวลาต้องทำงานตรงกับช่วงที่ผู้บริหารไม่อยู่เนื่องจากติดราชการ คนอื่นๆ ก็ลังเลที่จะชี้เป้า หรือยืนยันตำแหน่งของพื้นที่ที่ต้องจัดทำลาน BBL ส่งผลให้เวลาของการทำงานคลาดเคลื่อนออกไป
แต่ทั้งปวงก็ผ่านไปด้วยดี โดยปราศจากความขุ่นข้อง หรือปริร้าวใดๆ
โดยสรุปแล้ว ผมให้กำลังใจและชื่นชมกับค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง ครั้งที่ 15 อย่างเต็มสูบ วันเวลา 3 คืน 4 วันสามารถทำงานได้อย่างหลากรูปลักษณ์และหลากรูปรสเช่นนี้ถือว่า “เก่งมาก” เป็นการทำงานในแบบ “ใจนำพาศรัทธานำทาง” อย่างน่ายกย่อง สามารถบูรณาการกิจกรรมได้ครบทั้ง 4 กลไกอย่างเป็นรูปธรรม
ที่สำคัญคือการเชื่อมโยงชุมชนเข้าสู่โรงเรียนได้เช่นนี้ ผมถือว่า “เก่งและไม่ธรรมดา” จริงๆ
หมายเหตุ
ภาพ : ชมรมรุ่นสัมพันธ์
เขียน : 7 กรกฎาคม 2560
ชอบใจที่มีทั้งวิชาการและบริการสังคม
สองอย่างคู่กันได้อย่างเนียนๆ
ขอบคุณมากๆครับ
น้อง ๆ ยิ้มแย้มหน้าบานแน่นอน อ.แผ่นดินชมขนาดนี้ มาชูแขนเห็นด้วย
เพิ่มตรงที่ถ้าเวลามากกว่านี้ วงโสเหล่ร่วมกับแกนนำชุมชนและคณะครู และ/หรือเด็ก ๆ นักเรียน ก่อนออกแบบกิจกรรม จะเพิ่มการร่วมคิด ร่วมตัดสินในมากขึ้นไหมคะ
ขอบพระคุณครับ ดร.ขจิต ฝอยทอง
ปกติชมรมรุ่นสัมพันธ์ ถ้าไม่นับโครงการอื่นๆ จะมีโครงการหลักใหญ่ๆ 2 โครงการทำในแต่ละปี นั่นคือจุดประกายไฟใส่สีความฝันและความรู้นี้พี่ให้น้อง
จุดประกายไฟใส่สีความฝัน...เน้นแนะแนวการศึกษา แต่ความรู้นี้พี่ให้น้องเน้นการสอน้สริมในสาระการเรียนรู้คู่กับการบริการสังคมคู่กันไป
ปีนี้หางบเองด้วยนะครับ...นี่คือสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ
สวัสดีครับ พี่หมอธิ
การพัฒนาโจทย์ การปรับความาดหวัง การออกแบบกิจกรรมแบบมีส่วนร่วมในโครงการนี้คือประเด็นที่ต้องยกระดับขึ้นมาอีกสักนิด และพอมีกิจกรรมในแบบ บวร กิจกรรมเรียนรู้คู่บริการที่มีต่อชุมชนก็คงต้องออกแบบในเชิงลึกให้มมากขึ้น คงไม่ใช่แค่การจัดการด้านภูมิทัศน์เท่านั้น
นี่คือปรากฏการณ์ที่นิสิตเริ่มเปิดใจเรียนรู้และทำงานแบบบูรณาการมากกว่าที่ผ่านมา จนอดที่จะชมไม่ได้
ขอบพระคุณคำแนะนำดีๆ นะครับพี่หมอฯ