๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ผมเปลี่ยนแนวเขียนบันทึกชุด เที่ยวสวิส ๒๕๖๐ นี้ เป็นบันทึกรายวัน และรายเมืองควบคู่กัน
พอออกจากเครื่องบินก็ลงบันไดเลื่อนไปขึ้นรถไป Gate A, B, D Arrival ผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วไปที่สายพาน ๒๙ รับกระเป๋า เดินผ่านช่องเขียว ไม่มีของต้องเสียภาษี พอออกมาสาวน้อยก็จำได้ว่า ไปสถานีรถไฟต้องเดินตรงไป ข้ามถนนไปอีกอาคารหนึ่ง เราคลำทางไปหาห้อง Train Information เอาตั๋ว Swiss Pass ให้ดู และบอกว่าจะไป Locarno เขา print ตารางเดินทางบอกขบวนรถไฟ เวลาถึง เวลาออกจากแต่ละสถานีพร้อมหมายเลขชานชาลา สะดวกมาก ขบวนที่เขาแนะนำออก ๙.๑๐ น. เราเดินไปชานชาลา ๔ ลงบันไดเลื่อนไปที่ชานชาลา เก้ๆ กังๆ ครู่เดียว รถไฟไป Luzern มาจอดที่ชานชาลา ๓ คู่กันกับชานชาลา ๔ ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าไป Zurich Haupbahnhoff ได้ไหมเขาว่าได้ เรายืนตรงทางขึ้นตู้โดยสารชั้น ๑ พอดี จึงขึ้นไป รถออก ๘.๔๘ น. ทั้งตู้มีผู้โดยสารสามคนคือเราสองคนกับฝรั่งอีกคนหนึ่ง เท่ากับเราจับรถขบวนก่อนขบวนที่เจ้าหน้าที่ Information แนะนำ
รถไฟจอด ๑ สถานี แล้วถึงสถานีซูริก ก่อน ๙ น. เล็กน้อย อากาศค่อนข้างเย็น เข้าไปที่สถานีรอเวลา รถ IC ไป Lugano ออกเวลา ๙.๓๒ น. พอเวลา ๙.๑๕ น. สาวน้อยก็ชวนเดินไปชานชาลา ๙ รถไฟเข้าจอดพอดี และออกตรงเวลา กำหนดถึง Bellinzona ๑๑.๑๘ น. รถนั่งสบายมาก ที่นั่งแถวละ 2 + 1 ที่ไม่สมใจคือไม่มี wifi
รถแล่นลงใต้ ผ่านทะเลสาบ Zug อันสวยงาม และเมื่อ ๔ ปีก่อน เรานั่วรถไฟชมวิว วนเวียนอยู่แถวนี้หลายรอบ เรานั่งชมวิว และถ่ายรูปจนเกือบ ๑๑ น. เวลาท้องถิ่น ก็กินอาหารเที่ยงที่เตรียมมาจากบ้าน เป็นแซนวิชไส้กรอกรมควัน ที่หมอแต้วลูกสาวซื้อและเตรียมให้ พร้อมไข่ต้ม และเบียร์สิงห์ที่เอามาจากห้องรับรองการบินไทย
ใกล้ถึง Bellinzona สาวน้อยบอกว่าครึ้มฝนแล้ว
Bellinzona
Bellinzona เป็นเมืองที่สามปราสาทโบราณได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกยูเนสโก วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ หลังจากหัวหน้าทัวร์เปลี่ยนใจ กลับไปกลับมาหลายครั้งว่าวันนี้จะเที่ยวที่ไหนดี พยากรณ์อากาศว่าที่ ลูการ์โน ตอนบ่ายฝนตกหนัก ทำให้หัวหน้าทัวร์สั่งการว่าไปเที่ยว เบลลินโซน่า
เรานั่งรถไฟ IC จากซูริก ไปถึง Bellinzona ๑๑.๑๐ น. ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง เรากระเป๋าไปฝากล็อกเก้อร์ โดยใช้เหรียญรวม ๘ ฟรังก์ พบปัญหาเหรียญ ๕ ฟรังก์ใช้กับเครื่องไม่ได้ เมื่อใช้เหรียญอื่นก็เรียบร้อย (ล็อกเก้อร์ฝากกระเป๋าเดินทางที่สถานีรถไฟสวิสนี้สะดวกมาก ใส่กระเป๋าเดินทางสองใบที่เราเอาไปได้สบาย วันหลังเห็นที่สถานีโลคาร์โน ราคา ๙ ฟรังก์) แล้วไปที่ Information Office ในสถานีนั้นเอง ได้แผนที่และคำแนะนำว่าเดิน ๒ ชั่วโมงก็ทั่ว เราก็ออกเดินออกจากสถานีไปทางซ้าย ไปตามถนน Viale Stazione สักร้อยเมตรก็ไปถึง Castelgrande หรือปราสาทใหญ่ คือเมืองนี้มีปราสาทเก่าโบราณ ๓ แห่ง (1) แต่ที่ไปง่ายอยู่ใจกลางเมือง ติดกับย่านเมืองเก่าคือปราสาทใหญ่นี้ ที่เก่าที่สุดในสามปราสาท ที่ ยูเนสโก ประกาศยกย่องเป็นมรดกโลก และสร้างก่อน ค.ศ. ประมาณ ๑๐๐ ปี
เราจับพลัดจับผลูไปเจอลิฟต์ขึ้นไปข้างบนปราสาท และเดินขึ้นไปบนลานข้างบนที่มองไป เห็นส่วนต่างๆ ของเมืองโดยรอบ อากาศเป็นใจมากที่ฝนไม่ตกและไม่หนาวมาก โดยผมสวมเสื้อเชิ๊ร์ต ทับด้วยแจ็กเก็ตแล้วเอาเสื้อหนาวขนเป็ดบางๆ ของ Uniqlo ทับเป็นชั้นที่ ๓ ก็สบาย
เราเดินชมด้านต่างๆ ที่ชั้นบนของปราสาทอย่างสบายใจ แล้วสาวน้อยก็ตัดสินใจเดินลง ทำให้ได้ภาพสวยงามอีกหลายภาพ และเมื่อเดินมาพบบันไดทางลัด สาวน้อยก็ชวนเดินลงทางบันได ที่ปูด้วยหินแม่น้ำ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเดินบันไดปูด้วยหินแบบนี้
จากบันไดดังกล่าวเราเข้าไปในบริเวณเมืองเก่า (Old Town) โดยปริยาย และเดินไปพบตลาดนัดขายของนานาชนิด ที่บางร้านเริ่มเก็บของกลับบ้านแล้ว สาวน้อยซื้อแอ็ปเปิ้ล ๔ ผล เป็นเงิน ๖ ฟรังก์ (ราวๆ ๒๑๐ บาท) เธอบอกว่าถูกกว่าที่เมืองไทย ไปสวิสคราวนี้กินแอปเปิลเสียหนำใจ ทั้งที่ซื้อเองและที่โรงแรมแจก
เราเดินกลับไปสถานีรถไฟ ไปดูเวลาของขบวนรถ พบว่ามีรถ S 20 ไปโลคาร์โนเวลา ๑๔.๐๐ น. ตอนนั้นเวลา ๑๓.๓๕ น. เราเดินไปที่ชานชาลา ๒ เข้าไปนั่งพักที่ห้องนั่งพักกันหนาว พบแม่ชีคาทอลิกชาวอินเดียจากรัฐ Kerala มาอยู่ที่โลคาร์โนยี่สิบปีแล้ว
มีคนรอขึ้นรถจำนวนมาก เราต้องเดินไปหาตู้ชั้น ๑ ซึ่งมีที่นั่งไม่มาก แต่ก็สบาย คนไม่แน่นอย่างชั้นสอง ทิวทัศน์สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นสวนผัก บางแปลงมีพลาสติกคลุม เพียง ๒๗ นาทีก็ถึงโลคาร์โน
Locarno
ลงจากรถไฟลากกระเป๋าเดินออกมา ชะโงกดูเห็นตึกสีขาว ชื่อ Roberto Garni อยู่ข้ามถนนไป เราไม่แน่ใจ จึงไปถามเจ้าหน้าที่ information เขาบอกว่าตึกสีขาวหน้าสถานีนั่นแหละ เดินข้ามถนนกรำฝนปรอยๆ ไป แล้วเดินไปทางขวาสัก ๕๐ เมตร ก็ถึง เราได้ห้อง ๓๒ กว้างขวางพอสมควรสำหรับโรงแรมระดับสามดาว ในสวิส
เจ้าหน้าที่อัธยาศัยดี ให้คำแนะนำวิธีใช้ก๊อกในห้องน้ำ และวิธีเข้าออกโรงแรมยามวิกาล (ซึ่งเราไม่ได้ออกไป) และบอกว่าเมื่อลงมาเขาจะให้บัตรใช้บริการระบบขนส่งของรัฐทิชิโนฟรี ใช้ได้ภายในรัฐ และใช้ลดราคาบริการที่ไม่ใช่ของรัฐได้จำนวนหนึ่ง
เราขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปข้างล่าง รับบัตรขึ้นรถไฟรถเมล์ฟรี พร้อมแผ่นอธิบาย ฤทธิ์เดชของบัตร เราก็ต้องทดลองใช้มันเสียหน่อย ยามฝนตกฟ้าครึ้มเช่นนี้ไม่มีอะไรดีเท่านั่งรถเมล์ เที่ยวชมเมือง ออกไปที่หน้าสถานีเจอรถสาย ๓๑๖ เข้าไปถามคนขับว่าบัตรนี้ใช้ได้ไหม เขาบอกว่าได้ โดยเขาไป Domodossola (รู้ภายหลังว่าอยู่ในเขตอิตาลี) เขาถามว่าจะไปไหน ตอบว่าไปนั่งรถเที่ยว เขาให้เราไปได้ รถแล่นเลียบริมทะเลสาบ จอดตามป้ายถี่มาก ป้ายไหนไม่มีคนกดกระดิ่งให้จอด ก็เลยไป ผมนั่งถ่ายรูปวิวข้างทาง และถ่ายป้ายบนรถบอกที่จอดป้ายหน้า ไปสัก ๒๐ นาที เขาบอกให้เราลง แล้วพอถึง ๑๗.๒๘ น. จะกลับมารับที่ป้ายฝั่งตรงกันข้าม ลงไปนั่งรอหลบฝนหลบหนาวพร้อมกับสังเกตการณ์โดยรอบ จึงรู้ว่าตรงนั้นเป็นเทศบาล Brissago เลยนั้นไปคงจะเป็นเขตอิตาลี แต่มันเหมือนกับเป็นประเทศเดียวกัน ไม่มีด่านหรือป้ายบอกเลย เสียดายที่ฝนตกและหนาว จึงไม่ได้เดินสำรวจ
ใกล้เวลา ๑๗.๒๘ น. ก็มีคนมากางร่มยืนรอรถ รถมาตรงเวลา ขากลับฝนตกหนักขึ้น กระจกรถมัว ถ่ายรูปได้มัวๆ กลับมาถึงหน้าสถานี เราเดินกลับห้องพัก กินอาหารเย็นที่เตรียมมาจากบ้าน
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ผมเข้าไปชมวีดิทัศน์ใน YouTube นำชมเมือง โลคาร์โน ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๘ พ.ค. ๖๐
ห้อง ๓๒ โรงแรม Rio Garni, Locarno, Switzerland
ปรับปรุง ๑๕ พ.ค. ๖๐ ที่ห้อง ๕๒๙ โรงแรม Royal Plaza, Montreux, Switzerland
1 Bellinzona เราเดินไปตามถนนที่สวยงามเส้นนี้
2 สองข้างถนนมีต้นไม้เป็นระยะๆ ตลอดทาง
3 เมื่อเห็นประติมากรรมนี้ก็เดินเลี้ยวขวาเข้าไป
5 เดินไปพบทางเข้าแบบนี้ เดินเข้าไปเจอลิฟท์
6 ขึ้นลิฟท์แล้วเดินต่ออีกหน่อยเดียว
8 วิวเมืองเบลลินโซน่า ถ่ายจากปราสาท
9 อีกปราสาทหนึ่ง อยู่ไม่ไกลนัก
10 ปราสาทที่สาม อยู่บนเขาสูงขึ้นไปอีก ต้องถ่ายซูม
22 วิวทะเลสาบมัจจอเร่ ที่ Brisago ยามฝนตก
23 อาคารสีฟ้าคือที่เราไปนั่งหลบฝนและความหนาว
ไม่มีความเห็น