บทที่ 3
การปฏิบัติงานของหนังสือพิมพ์อันมีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหาคดีอาญา
3.1 พัฒนาการของการสื่อสารผ่านตัวอักษรของมนุษย์
มนุษย์นั้นจัดได้ว่าเป็นสัตว์สังคม มีการพึ่งพาอาศัยระหว่างกันมาช้านาน การเป็นอยู่ของมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม รูปแบบของการติดต่อสื่อสารนั้นก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามอารยธรรมของมนุษย์ การติดต่อสื่อสารระหว่างกันเริ่มต้นจากการใช้เสียงส่งสัญญาณ แต่การส่งเสียงหากันนั้นยังไม่สามารถสนองความต้องการในการสื่อสารชองมนุษย์ได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากเสียงนั้นเมื่อเปล่งออกไปแล้วก็จะได้ยินอยู่เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน อีกทั้งเสียงก็จำกัดอยู่ภายในวงสนทนาเท่านั้น หากต้องการให้ข่าวสารที่ต้องการแจ้งขยายวงกว้างออกไปก็จำเป็นที่ผู้ฟังต้องจำแล้วนำไปบอกต่อเป็นทอดๆ และการบอกต่อไปเป็นทอดๆด้วยเสียงนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนในตัวข้อมูลได้
จนกระทั่งมนุษย์มีอารยธรรมที่เจริญงอกงามขึ้น ภูมิปัญญาของมนุษย์สามารถนำสิ่งที่มีอยู่รอบตัวมาดัดแปลงปรับแต่งสนองความต้องการในด้านต่างๆของมนุษย์ได้ และหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็คือการคิดค้นเอารูปภาพ (pictograph) หรือการประดิษฐ์ตัวอักษรมาใช้เป็นสื่อในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ในช่วงแรกเริ่มอารยธรรมการสื่อสารลักษณะนี้จะใช้แรงงานคนในการแกะสลักหรือวาดรูปภาพหรือตัวอักษรลงบนวัตถุต่างๆ เช่น กระดูกสัตว์ กระดานหิน แผ่นไม้ จนกระทั่งอารยธรรมดังกล่าวเริ่มประสบปัญหา กล่าวคือบรรดาวัตถุที่มนุษย์นำมาใช้ขีดเขียนนั้นไม่เหมาะสมต่อการนำออกเผยแพร่ ด้วยเหตุที่มีน้ำหนักมากหรือรูปร่างที่ไม่เหมาะต่อการขนส่งเคลื่อนย้าย มนุษย์จึงได้สร้างสรรค์สิ่งที่เรียกว่ากระดาษ กระดาษที่ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกสัตว์ กระดานหิน หรือแผ่นไม่แล้วจะเห็นได้ถึงความแตกต่าง กล่าวคือ กระดาษมีน้ำหนักเบา มีพื้นผิวที่เอื้อต่อการวาดภาพหรือเขียนตัวอักษร และที่สำคัญคือสามารถเก็บรวบรวมและส่งต่อไปยังกลุ่มผู้รับสารได้ง่าย แต่การสื่อสารของมนุษย์ก็ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร เนื่องจากกระดาษยังจัดเป็นสินค้าชั้นสูงที่มีราคาแพง อีกทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารก็ต้องอาศัยแรงงานคนในการคัดลอกด้วยลายมือ จึงค่อนข้างเปลืองเวลาและมีค่าใช้จ่ายสูง และประการสุดท้ายประการสำคัญก็คือคนรู้หนังสือยังมีน้อย
พัฒนาการของการสื่อสารผ่านตัวอักษรของมนุษย์ที่จะถือว่าประสบความสำเร็จนั้น แท้จริงเพิ่มเริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักระบบการพิมพ์ การค้นพบระบบการพิมพ์ทำให้มนุษย์เรามีโอกาสในการอ่านออกเขียนได้มากขึ้น การบอกเล่าเรื่องราวสามารถทำได้โดยง่าย ข่าวสารจากชุมชนหนึ่งสามารถส่งต่อไปยังชุมชนอื่นๆได้โดยไม่ถูกจำกัดโดยระยะทางหรือช่วงเวลาอีกต่อไป ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์อย่างแท้จริง
3.2 ความหมายของหนังสือพิมพ์
ในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์เรานั้น ถือได้ว่าสื่อมวลชนเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งที่ช่วยให้การติตดต่อสื่อสารสามารถประสบความสำเร็จได้โดยง่าย และในบรรดาสื่อมวลชนต่างๆหนังสือพิมพ์เป็นอุปกรณ์สำคัญอันหนึ่งในการเสนอข่าวความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในสังคมประจำวัน ดังนั้น หนังสือพิมพ์ย่อมเป็นกระจกเงาสะท้อนให้เห็นว่าสังคมนั้นมีแนวความคิดเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมโดยรวมเป็นอย่างไร
เมื่อกล่าวถึงการให้คำจำกัดความของคำว่า “หนังสือพิมพ์” ย่อมเป็นการยากที่จะคิดหาคำจำกัดความที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระของหนังสือพิมพ์ คำจำกัดความที่มีนักวิชาการพยายามกำหนดให้นั้นจึงแตกต่างออกไปตามแต่ละมุมมองของแต่ละท่าน เช่น
Mr. Eric Hodgin แห่งหนังสือพิมพ์ Time Magazine ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “หนังสือพิมพ์นั้น ถือว่าเป็นเครื่องมือการสำรวจ และการให้ความเข้าใจจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยการแจ้งข่าวที่แน่นอนและเป็นจริงให้ประชาชนทราบ บางครั้งความจริงอาจต้องใช้เวลาในการเปิดเผย แต่เมื่อใดที่เปิดเผยไปแล้วก็จะเป็นความจริงอย่างแน่นอน”
หนังสือพิมพ์ เราหมายรวมถึงสิ่งพิมพ์ที่รวบรวมและบรรจุไว้ด้วยข่าว บทวิจารณ์ ภาพข่าว ภาพล้อเลียน และสารคดีต่างๆ รวมทั้งสารคดีที่เกี่ยวกับข่าวด้วย
หนังสือพิมพ์ คือหนังสือบอกข่าว หมายรวมตั้งแต่หนังสือข่าวฉบับย่อยๆ ทำด้วยฝีมือของคนเพียง 2 - 3 คน ไปถึงหนังสือพิมพ์ระดับชาติที่ออกในเมืองใหญ่ๆ มีคนงานเป็นร้อยเป็นพันคน หนังสือพิมพ์อาจจะออกเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายเดือนก็ได้ หนังสือพิมพ์ประกอบขึ้นด้วยตัวพิมพ์ หมึกพิมพ์ และกระดาษพิมพ์
จากตัวอย่างคำนิยามที่ได้ยกมานั้นจะพบว่าการให้คำนิยามแก่หนังสือพิมพ์นั้นล้วนแตกต่างกันไปตามทัศนะความเห็นของผู้นั้น แต่ถึงอย่างไรก็พอให้คำจำกัดความโดยสรุปได้ดังนี้ “หนังสือพิมพ์ คือสิ่งตีพิมพ์ที่ออกตามระยะเวลาที่กำหนดติดต่อกันไปเป็นลำดับ รวบรวมและบรรจุไว้ด้วยข่าว บทวิจารณ์ ภาพข่าว ภาพล้อและสารคดีต่างๆ รวมทั้งสารคดีที่เกี่ยวกับข่าว หนังสือพิมพ์อาจจะออกเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายเดือนก็ได้”
3.3 ความเป็นมาของหนังสือพิมพ์
จากที่ได้กล่าวถึงพัฒนาการของการสื่อสารผ่านตัวอักษรของมนุษย์มาแล้วในตอนต้น พัฒนาการดังกล่าวแม้จะก้าวหน้าไปมากตลอดระยะเวลาปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 และครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่การใช้ประโยชน์จากการพิมพ์ยังอย่าในวงจำกัด ส่วนใหญ่อยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีอำนาจไม่ว่าอำนาจที่มีนั้นเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยหรือไม่ก็ตาม ในช่วงแรกเริ่มหนังสือพิมพ์มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อแจ้งข่าวสาร แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่อาจถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์อย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แต่บรรพบุรุษของหนังสือพิมพ์แยกได้ 3 ประเภท คือ
1. หนังสือแจ้งข่าวสารของทางราชการ (Official Gazette) หนังสือประเภทนี้ทางการหรือรัฐบาลจะใช้เป็นหนังสือบอกข่าวจากเมืองหลวงไปยังหัวเมืองหรือเมืองขึ้น เป็นทำนอง “ใบบอกข่าว” ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าหนังสือประเภทนี้ใช้ครั้งแรกในอาณาจักรจีนและอาณาจักรโรมัน
2. จดหมายเหตุการค้า เกิดจากระบบการค้าแบบเครือญาติพบได้ในชนชาติจีนและชนชาติยิว เนื่องจากในสมัยก่อนการค้าขายจะกระจายตัวกันอยู่ตามหัวเมือง มิได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะเมืองหลวงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หากคนที่อยู่ในเครือญาติของตนไปประกอบธุรกิจอยู่ ณ หัวเมืองใด ญาติพี่น้องก็มักเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวและความเป็นไปของตนให้อีกฝ่ายที่อยู่ต่างเมืองทราบ เพื่อจะได้หาลู่ทางในการประกอบธุรกิจการค้าที่เจริญรุ่งเรืองแก่หมู่เครือญาติของตนได้ ข่าวสารที่ส่งหากันนี้ เรียกว่า “News Letter”
3. Pamphlet เกิดขึ้นในช่วงที่ศาสนจักรกำลังประสบปัญหา โดยปัญหาดังกล่าวเกิดจากการที่เจ้าครองนครหรือกษัตริย์บังคับให้ประชาชนหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายใดนิกายหนึ่งตามที่ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องการ เมื่อประชาชนถูกกดขี่มากๆจึงมีผู้หาวิธีการระบายออกมาโดยผ่านทางตัวอักษร เพื่อบอกเล่าความทุกยากที่ตนได้เจอ พร้อมกับส่งต่อไปในชุมชนของตนเพื่อร่วมวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นและอาจรวมถึงขั้นเขียนโจมตีผู้ใช้อำนาจปกครอง กล่าวได้ว่า Pamphlet เป็นต้นแบบของการเขียนบทความ หรือบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้วยังมีสื่อที่มีลักษณะเป็นใบปลิวข่าวที่เรียกว่า “News Sheets” มีลักษณะเป็นใบบอกข่าวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของท้องถิ่นหรือชาวบ้านทั่วไป ใครต้องการที่จะบอกข่าวให้คนทั่วไปรู้ในสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะไปจ้างพิมพ์จากนั้นจึงนำไปแจกจ่าย ใบปลิวข่าวนี้มีลักษณะเป็นบรรพบุรุษของการโฆษณามากกว่าเป็นบรรพบุรุษของหนังสือพิมพ์
ส่วนประกอบของเนื้อหาหนังสือพิมพ์ได้เกิดขึ้นแล้วในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และสามารถแยกได้ 4 ประการ คือ ข่าวราชการ - การเมือง ข้าวเศรษฐกิจ - การค้า บทความบรรณาธิการ และการโฆษณาสินค้าซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนารูปแบบมาเป็นเนื้อหาหลักอย่างที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน
3.4 การดำเนินการของหนังสือพิมพ์
วัตถุประสงค์ของหนังสือพิมพ์
การดำเนินการของหนังสือพิมพ์นั้นมีวัตถุประสงค์มากมายหลายประการ และแต่ละสำนักพิมพ์ก็จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระที่เข้มข้นต่างกันไป โดยการเลือกเนื้อหามานำเสนอนั้นหนังสือพิมพ์เองจะต้องมีฐานข้อมูลว่าประชาชนกลุ่มเป้าหมายของตนต้องการรับทราบเนื้อหาหรือข่าวสารประเภทใดเพื่อที่จะจะได้นำเสนอได้ตรงตามความต้องการดังกล่าว โดยหากประชาชนสนใจในเนื้อหาประเภทใดมากหนังสือพิมพ์ก็จะลงเนื้อหาประเภทนั้นมากเป็นพิเศษ และในทางกลับกัน เนื้อหาใดที่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายไม่ต้องการรับทราบ หนังสือพิมพ์ก็อาจตัดทอนเนื้อหาส่วนนั้นตามความเหมาะสม ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการหนังสือพิมพ์จึงสามารถจำแนกเป็นข้อๆได้ ดังนี้
1. หนังสือพิมพ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการแจ้งข่าว เป็นหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ที่จะต้องแสวงหาและติดตามสถานการณ์ต่างๆซึ่งเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นในหรือนอกประเทศ เพื่อนำมาเขียนข่าวบอกเลาเรื่องราวนั้นๆให้ผู้อ่านได้ทราบ การหาข่าวจึงเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
2. หนังสือพิมพ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจ ซึ่งนอกจากจะมีหน้าที่รายงานข่าวสารแล้ว หนังสือพิมพ์ยังต้องติดตามผลการนำเสนอข่าวของตนว่าเนื้อหาเรื่องตนนำมาเสนอแก่ประชาชนนั้น ประชาชนมีความต้องการรับทราบเนื้อหาของข่าวเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากมีความประสงค์ดังกล่าว หนังสือพิมพ์ก็ต้องรับหน้าที่ค้นคว้าหารายละเอียดของข่าวดังกล่าวมานำเสนอเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนผู้ติดตามข่าวของตน
3. หนังสือพิมพ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความบันเทิงเพลิดเพลินใจ คือการลงเรื่องที่จะให้ความสนุกสนานแก่ผู้อ่าน เช่น นวนิยาย บันเทิงคดี เกร็ดความรู้ หรือกีฬา เป็นต้น ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของนักหนังสือพิมพ์ที่จะคาดถึงความต้องการของผู้อ่าน
หน้าที่ของหนังสือพิมพ์
หน้าที่ของหนังสือพิมพ์ในฐานะสื่อมวลชนนั้นถือได้ว่ามีหน้าที่และความรับผิดชอบที่กว้างขวางและดูจะปราศจากของเขต เรื่องต่างๆที่หนังสือพิมพ์เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือจะเป็นภัยต่อส่วนรวมแล้ว หนังสือพิมพ์จะถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องและรายงานเหตุการณ์นั้นๆให้ประชาชนทราบในทันที ในที่นี้จะกล่าวถึงลักษณะหน้าที่ของหนังสือพิมพ์เป็นข้อๆ ดังนี้
1.หน้าที่ในการนำเสนอขาวสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ เนื้อหาของข่าวจะเป็นเนื้อหาที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนั้น การนำเสนอจะต้องคำนึงถึงสาระที่จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกนึกคิดทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเรื่องอื่นๆที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ในการนำเสนอข่าวสารนี้ หนังสือพิมพ์ยังต้องเสนอไปตามความเป็นจริงไม่บิดเบือนเนื้อหาของข่าว ซึ่งหลักประการนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นหนังสือพิมพ์ ดังนั้นแม้ว่าหนังสือพิมพ์ต้องนำเสนอข่าวโดยแข่งกับทั้งเวลาและกับคู่แข่งทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ทราบเนื้อหาข่าวใดแล้ว หนังสือพิมพ์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องสืบหามูลความจริงเพื่อสร้างน้ำหนักให้แก่ข่าวของตนก่อนว่ามีความน่าเชื่อถือก่อนที่จะนำข่าวนั้นออกสู่สายตาประชาชน
2. หน้าที่ในการนำเสนอความคิดเห็นและหน้าที่ในการเป็นตลาดเสรีแห่งความคิด นอกจากการนำเสนอข่าวตามปกติแล้ว ในบางครั้งหนังสือพิมพ์เองก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนต่อมวลชนบ้าง โดยจะเป็นผู้ชี้นำ ชี้แนะ กระตุ้นความคิด ทัศนคติ ค่านิยม หรือความต้องการใหม่ๆ ตลอดชี้นำในบางเรื่องที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแต่เรื่องนั้นกลับถูกมองข้ามไป เป็นต้น ส่วนการเป็นตลาดเสรีแห่งความคิดนั้น หมายความว่า หนังสือพิมพ์จะต้องเปิดโอกาสให้มีการแสดงทัศนคติความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ แม้ว่าความคิดเห็นนั้นๆจะเป็นความคิดเห็นในมุมแย้งก็ตาม เนื่องจากการเป็นตลาดเสรีแห่งความคิดนี้ถือเป็นการยอมรับว่าประชาชนเป็นผู้ที่มีสติปัญญา สามารถที่จะเห็นว่าเรื่องใดเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา มิใช่เห็นคล้อยไปกับการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ไปเสียทุกเรื่อง และการแสดงความคิดเห็นของประชาชนนี้ยังอาจถึงขั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนมติมหาชนไปในตัวด้วย
3. หน้าที่ในการให้ความบันเทิง ถือเป็นการลดความตึงเครียดในการรับรู้ข่าวสาร ทำให้ประชาชนได้ผ่อนคลายไปกับความบันเทิงและสาระอื่นๆที่มิได้เป็นเนื้อหาข่าวอย่างแท้จริง
4. หน้าที่ในการเป็นสื่อกลางในทางธุรกิจ คือการเป็นผู้เปิดให้ลงโฆษณาสินค้าและบริการ ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้มาพบกัน
5. หน้าที่ในการประเมินข่าวสารและสาระที่หนังสือพิมพ์จะนำมาเสนอแก่ประชาชน เนื่องจากต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทุกด้าน เพราะการที่หนังสือเป็นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลกว้างขวางคนทุกคนเข้าถึงหนังสือพิมพ์ได้โดยง่าย ดังนั้นเนื้อข่าว ภาษที่ใช้ และรูปภาพ ล้วนต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและผลที่จะเกิดต่อส่วนรวมด้วยกันทั้งสิ้น
6. หน้าที่ในการให้ความรับผิดชอบ เนื่องจากหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน หน้าที่อีกประการหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการเป็นหนังสือพิมพ์ก็คือการรับผิดชอบต่อข่าวที่ตนนำเสนออกไป การแสดงความรับผิดชอบดังกล่าวถือเป็นมารยาทที่ดีที่หนังสือพิมพ์พึงกระทำโดยต้องคำนึงประโยชน์ของประชาชนก่อนประโยชน์ของหนังสือพิมพ์เอง หากปรากฏว่าการนำเสนอข่าวของตนผิดพลาดถือเป็นความรับผิดชอบที่หนังสือพิมพ์ต้องไม่นำความผิดพลาดนั้นโยนต่อไปยังที่อื่นหรือโทษว่าความผิดนั้นมีสาเหตุมาจากแหล่งข่าว
7. หน้าที่ในการดำรงตนให้เป็นอิสระ หมายความว่าหนังสือพิมพ์ต้องอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ดำเนินกิจการเอง ไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนหรือรับการอุดหนุนใดๆจากภายนอก เพราะถ้าหนังสือพิมพ์ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติหรือข้อผูกพันกับภายนอกอย่างใดๆแล้ว ก็เป็นการยากที่หนังสือพิมพ์จะสามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมได้อย่างเต็มที่
ความรับผิดชอบของหนังสือพิมพ์
แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบของหนังสือพิมพ์เริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลักดังกล่าวจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพและสิทธิของประชาชนผู้อ่านในการที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร หลักดังกล่าว พอสรุปได้ ดังนี้
1. หนังสือพิมพ์ต้องมีความตระหนักว่าตนมีหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสารต่อประชาชนอย่างเที่ยงตรงครบถ้วนเท่าที่ความสามารถจะอำนวยให้ได้
2. หนังสือพิมพ์ต้องให้โอกาสแก่ผู้อ่านในการที่จะรับรู้ เข้าใจ และประเมินค่าของข่าวสารที่สำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวสารที่เกี่ยวกับข้อขัดแย้งที่มีผลกระทบกระเทือนอย่างมากต่อส่วนได้เสียของสังคม
3. หนังสือพิมพ์ต้องรับผิดชอบต่อความเที่ยงตรงของการนำเสนอข่าว ไม่นำเสนอข่าวไปในทางเอื้อผลประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นหนังสือพิมพ์ต้องสร้างรากฐานของตนให้มั่นคงเพื่อที่ว่าหนังสือพิมพ์จะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ
4. หนังสือพิมพ์ต้องเคารพต่อตัวบทกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหมิ่นประมาทและการตีพิมพ์ภาพที่ไม่เหมาะสม
3.5 อิทธิพลและบทบาทของหนังสือพิมพ์
จุดกำเนิดอิทธิพลของหนังสือพิมพ์
ในประวัติศาสตร์ว่าด้วยอิทธิพลของหนังสือพิมพ์นั้นปรากฏว่าอิทธิพลดังกล่าวมีขึ้นและเห็นเด่นชัดเป็นครั้งแรกในทวีปอเมริกาในช่วงเวลาซึ่งมีการโจมตีต่อต้านการมีทาสกันอย่างรุนแรงก่อนหน้าภาวะสงครามกลางเมืองเพื่อการเลิกทาสจะเกิดขึ้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนังสือพิมพ์ก็ได้กลายมาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างการพัฒนาสาธารณมติของชุมชนที่เด่นที่สุด และดูจะเป็นเพียงเครื่องมือเพียงประเภทเดียวในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้เพราะสื่อมวลชนประเภทอื่นๆส่วนใหญ่ยังมิได้มีขึ้น หรือหากมีแล้วแต่ก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะทำหน้าที่สะท้อนสาธรณมติได้ ด้วยสถานะอันเข้มแข็งของหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงทำให้หนังสือพิมพ์เป็นกิจการที่ทรงอิทธิพลใหญ่หลวงยิ่ง
การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของหนังสือพิมพ์ในแต่ละประเทศมักมีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือในช่วงแรกหนังสือพิมพ์เกิดขึ้นมาและอยู่ได้โดยพลังของนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอุทิศตัวเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน สิ่งนี้ทำให้หนังสือพิมพ์มีอิทธิพลสำคัญและแผ่ขยายอิ?พลออกไปเป็นวงกว้าง ในช่วงเวลานี้เจ้าของและบรรณาธิการได้ดำเนินกิจการการพิมพ์ตามอุดมการณ์ที่เขาเหล่านั้นเชื่อว่าประเสริฐที่สุด ด้วยเหตุนี้ประชาชนคนอ่านจึงเกิดความศรัทธาในสิ่งซึ่งหนังสือพิมพ์เลือกสรรลงตีพิมพ์ อาจจะกล่าวได้ว่าที่หนังสือพิมพ์ยิ่งใหญ่รุ่งเรืองขึ้นมาได้ก็เพราะบุคลิกภาพของบุคคลผู้สร้างขึ้นมานั่นเอง หนังสือพิมพ์จึงได้รับคำนิยามเกี่ยวกับเนื้อหาในโครงสร้างชนิดที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ของหนังสือพิมพ์ไว้ 4 ประการ คือ
1. หนังสือพิมพ์เป็นองค์กรที่ทรงสมรรถวิสัยทางสังคม และเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์ความสำนึกของชุมชน
2. หนังสือพิมพ์เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีต่อข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งโดยบทบาทอันนี้หนังสือพิมพ์จึงทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องจักกลในการสร้างสรรค์ความคิดและทำลายความคิดไปในตัว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกเสนอขาวและการดำเนินกิจการต่อข่าวนั่นเอง
3. หนังสือพิมพ์เป็นเครื่องสร้างสมอย่างหนึ่งของความประพฤติ กล่าวอย่างง่ายก็คือการที่บุคคลจะได้ “มีชื่ออยู่ในข่าว” นั้น แต่ละบุคคลต่างก็คาดหวังที่จะได้มีชื่อเสียงไปในทางที่ดี แต่ในขณะเดียวกันบุคคลต่างๆก็ต้องละเว้นการกระทำผิดเพื่อมิให้หนังสือพิมพ์นำชื่อของตนไปลงประจานความผิดนั่นเอง
อิทธิพลของหนังสือพิมพ์
เมื่อเปรียบเทียบสื่อมวลชนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะพบว่าหนังสือพิมพ์เป็นสื่อมวลชนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด สำหรับสังคมไทยนั้น หนังสือพิมพ์ยังเป็นสื่อมวลชนที่ยังพอมีความเป็นอิสระอยู่บ้าง เพราะรัฐบาลเพียงวางข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ไว้อย่างหลวมๆ ไม่ถึงกับเข้ายึดถือเป็นเจ้าของเสียเองอย่างสื่อวิทยุหรือสื่อโทรทัศน์ ความอิสระของหนังสือพิมพ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการนำเสนอข่าวและการเสนอความคิดเห็นต่อประชาชนอย่างมาก ดังเช่นหน้าที่ประการหนึ่งทีหนังสือพิมพ์พึงกระทำนั้นก็คือการเป็นตลาดกลางแห่งความคิดนั่นเอง (Free market of all ideas)
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันมากว่าหนังสือพิมพ์เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก และนอกจากนั้นยังเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนซึ่งเป็นผู้อ่านทั่วไปด้วย สาเหตุที่ทำให้หนังสือพิมพ์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้อานนั้น น่าจะมาจากเหตุ 2 ประการ ประการแรกคือหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ และประการที่สองลักษณะของหนังสือพิมพ์
หน้าที่ของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปก็คล้ายคลึงกับสื่อมวลชนประเภทอื่นๆ แต่การที่จะเข้าใจว่าหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลต่อผู้อ่านก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทราบว่าโดยแท้จริงแล้วหนังสือพิมพ์นั้นมีหน้าที่อะไร หน้าที่สำคัญของหนังสือพิมพ์โดยหลักแล้วมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ
1. หน้าที่ในการเสนอข่าวสาร
2. หน้าที่ในการเสนอความคิดเห็น
3. หน้าที่ให้ความบันเทิง
จากหน้าที่หลัก 3 ประการนั้น จะพบว่าหน้าที่เสนอข่าวสารและหน้าที่เสนอความคิดเห็นนั้นเป็นหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนโดยตรง ซึ่งตามหลักแล้วหน้าที่ 2 ประการนี้ไม่สามารถถูกนำเสนอควบคู่ไปได้ ต้องแยกส่วนออกจากกัน เพราะการนำเสนอขาวสารในส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงปะปนไปกับการแสดงความคิดเห็นนั้นจะทำให้ข้อเท็จจริงที่ต้องการนำเสนอถูกบิดเบือนไป แต่ถึงอย่างไรการแบ่งแยกความคิดเห็นกับเนื้อข่าวก็ยังเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ การนำความคิดเห็นที่แอบแฝงหรือปะปนมากับการเสนอข่าวนี้เองที่เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก เพราะว่าผู้อ่านไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าข่าวนั้นมีความคิดเห็นปนมาด้วยหรือไม่
ลักษณะของหนังสือพิมพ์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังสือพิมพ์มีอิทธิพลในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะหนังสือพิมพ์มีลักษณะในตัวเองที่แอบแฝงไว้ซึ่งความพิเศษอยู่หลายประการ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
1. หนังสือพิมพ์เป็นสิ่งที่มีราคาถูก ทำให้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่แพร่หลายทั่วไป เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย
2. หนังสือพิมพ์เมื่อซื้อมาแล้วจะอ่านเมื่อใดก็ได้ตามแต่อารมณ์ เรื่องที่ลงในหนังสือพิมพ์ก็มีอยู่หลากหลายสามารถเลือกอ่านเรื่องต่างๆได้ตามใจชอบ ต่างจากสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ที่จะต้องรับฟังตามช่วงเวลา ตอนไหนไม่ชอบไม่อยากฟังก็ไม่สามารถเลือกได้ และแม้จะชอบหรือสนใจตอนไหนหากพลาดไม่ได้ดูตามเวลาก็ไม่สามารถย้อนเวลาไปดูได้ จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับถูกบังคับให้รับฟังมากกว่า
3. หนังสือพิมพ์ที่ลงรูปข่าวหรือเรื่องราวที่ผู้อ่านสนใจนั้น ผู้อ่านสามารถเลือกเก็บไว้อ่านเมื่อใดอีกก็ได้ การเก็บนี้สามารถทำให้เป็นหลักฐานคงทนนำมาอ้างอิงเมื่อใดก็ได้ ต่างจากสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ที่การนำเสนอจะผ่านเลยไปไม่สามารถเก็บเสียงหรือภาพไว้ เว้นแต่จะตั้งใจอันเก็บไว้เอง ซึ่งก็มีวิธีการที่ค่อนข้างยุ่งยากมากกว่ากรณีของหนังสือพิมพ์
4. หนังสือพิมพ์สามารถให้ข่าวสารและรายละเอียดที่ลึกซึ้งมากกว่าวิทยุและโทรทัศน์ เพราะสื่อมวลชน 2 ประเภทหลังจำเป็นต้องคัดเฉพาะเนื้อหาข่าวที่มีความจำเป็นและสำคัญจริงๆมานำเสนอเนื่องจากมีเวลาในการนำเสนอค่อนข้างจำกัด
องค์กรที่รับรองว่าหนังสือพิมพ์มีอิทธิพล
อิทธิพลของหนังสือพิมพ์ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ทั้งๆที่อาจจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือการพิสูจน์เพื่อแสดงให้เห็นได้น้อยกว่าก็ตาม แต่ก็ดูออกจะเป็นสิ่งที่พอจะเชื่อถือได้
จากประวัติศาสตร์เมื่อองค์กรหนังสือพิมพ์ได้กำเนิดขึ้นนั้น ผู้ปกครองบ้านเมืองยังไม่ได้ให้ความใส่ใจหรือสำนึกในความสำคัญแห่งอิทธิพลของหนังสือพิมพ์มากนัก หนังสือพิมพ์ของทุกๆประเทศจึงดำเนินกิจการด้วยเสรีภาพที่มีอย่างสมบูรณ์ แต่ในเวลาต่อมา ผู้ปกครองบ้านเมืองเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ที่สามารถจะสั่นคลอนเสถียรภาพของอำนาจผู้ปกครองได้ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ปกครองใช้อำนาจปกครองที่ไม่ชอบหนังสือพิมพ์ก็มักเสนอข่าวโจมตี ชี้นำให้ประชาชนเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น ผู้ปกครองก็จะมองว่าหนังสือพิมพ์เป็นศัตรูตัวสำคัญที่ต้องกำราบ นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสือพิมพ์บางประเภทที่มองว่าผลประโยชน์ของตนมีความสำคัญกว่าผลประโยชน์ของประชาชน หนังสือพิมพ์ประเภทดังกล่าวจึงมักเสนอข่าวที่เห็นว่าจะนำผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจมาสู่ตนได้ ด้วยเหตุทั่ง 2 ประการนี้จึงทำให้ฝ่ายปกครองสร้างกฎหมายและระเบียบวิธีปฏิบัติต่างๆขึ้นมาควบคุม ฉะนั้นกฎหมายการพิมพ์ กฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท ฐานขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ได้เกิดมีขึ้นและเข้าครอบคลุมการดำเนินงานของหนังสือพิมพ์ กฎหมายเหล่านี้เองที่เป็นเครื่องรับรองอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ที่มีอยู่ในสังคม
หนังสือพิมพ์จะมีอิทธิพลต่อประชาชนมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ประการแรกจำนวนและลักษณะของการที่ประชาชนได้รับข่าวสารหรืออ่านโดยตรง ประการที่สองอิทธิพลของหนังสือพิมพ์จะมีมากยิ่งขึ้นถ้าเรื่องราวที่นำเสนอนั้นสอดคล้องกับความคิดเห็นเดิมของประชาชน
3.6 การนำเสนอข่าวอาชญากรรมของหนังสือพิมพ์ในลักษณะที่ผลกระทบต่อสิทธิ
และศักดิ์ศรีความเป็นคนของผู้ต้องหาในคดีอาญา
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วถึงอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ที่มีต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้อ่านค่อนข้างมาก ดังนั้นการนำเสนอข่าวแต่ละครั้งหากหนังสือพิมพ์นำเสนอด้วยความประมาทโดยกล่าวพาดพิงไปถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งในทางที่เสื่อมเสีย บุคคลนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบจากการนำเสนอเช่นว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่กำลังตกเป็นผู้ต้องหาว่าได้กระทำความผิดทางอาญาด้วยแล้ว ประชาชนผู้อ่านข่าวมักมีความเห็นคล้อยตามไปกับการนำเสนอของหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดจากการพาดหัวข่าวที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ ภาพประกอบที่ถ่ายทอดได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องจินตนาการ หรือแม้การเขียนข่าวบรรยายถึงชื่อ นามสกุล ที่อยู่ของผู้ต้องหา ประหนึ่งว่าบุคคลในข่าวนั้นเป็นผู้กระทำความผิดอย่างแน่แท้ ทั้งที่ความจริงกระบวนการยุติธรรมยังไม่ได้เข้ามาตรวจสอบแต่อย่างใด
การนำเสนอข่าวในลักษณะดังกล่าวหนังสือพิมพ์นิยมลงเนื้อหาที่ค่อนข้างละเอียด โดยเฉพาะเนื้อหาในส่วนที่เป็นการระบุตัวบุคคล เช่น การนำเสนอในลักษณะดังกล่าวอาจแลดูคาบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญกับสิทธิในการรับรู้ของมูลข่าวสารของประชาชน แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วผู้ทำการศึกษาเห็นว่าในการอ้างหรือการใช้สิทธิของบุคคลแต่ละคนนั้น บุคคลย่อมสามารถอ้างและใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่บริบูรณ์ ภายใต้กฎหมายและตราบเท่าที่ไม่เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ดังนั้นแม้ประชาชนจะมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและหนังสือพิมพ์จะมีสิทธิ์ในการนำเสนอข่าว แต่สิทธิดังกล่าวย่อมต้องมีอยู่อย่างจำกัดเท่าที่กฎหมายอนุญาตและไม่เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ในส่วนของการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์นั้นจะได้รับข้อยกเว้นกรณีที่การเสนอข่าวอันมีลักษณะกระทบสิทธิเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของสาธรณชน
ประโยชน์ของสาธรณชนที่หนังสือพิมพ์ยกขึ้นอ้างนั้น ผู้ทำการศึกษาคะเนว่าหนังสือพิมพ์คงต้องการบอกเล่าเรื่องราวในสังคมว่าขณะนี้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้น มีการกระทำผิดหรือการกระทำอื่นใดที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อสังคม การลงรายละเอียดที่เป็นการระบุตัวผู้ต้องหาอย่างชัดแจ้งทั้งรูปภาพและชื่อที่อยู่นั้นก็เพื่อที่ผู้เสียหายจะสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ต้องหาดังกล่าวได้กระทำความผิดไปจริงหรือไม่ อีกทั้งการลงรายละเอียดทั้งหลายทั้งปวงก็ยังเป็นการช่วยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปในตัวด้วยว่ามีความโปร่งใสหรือไม่เพียงใด เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงนี้ผู้ทำการศึกษาเห็นว่าหนังสือพิมพ์คงนำมาใช้เป็นข้ออ้างคุ้มครองการกระทำของตนตลอดมา โดยได้นำเสนอข่าวลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน สร้างความคุ้นเคยในหมู่ผู้ที่อ่านหนังสือพิมพ์ว่าถ้าเป็นข่าวอาชญากรรมแล้ว ผู้อ่านจะได้เห็นหน้าตาคนร้ายว่ามีความละม้ายคล้ายคนที่ตนเคยรู้จักหรือไม่ เห็นชื่อ นามสกุล หรือแม้จะเป็นนามแฝงเพียงเล็กน้อยก็ยังดีเพราะจะได้นำไปเปรียบเทียบว่าเป็นบุคคลที่เคยรู้จักหรือไม่ และเห็นการให้รายละเอียดที่อยู่อย่างชัดเจน จนกลายเป็นว่าผู้อ่านหนังสือพิมพ์เห็นดีเห็นงามกับการนำเสนอข่าวในลักษณะดังกล่าว ซึ่งโดยส่วนต
ขอคุณมากนะค่ะ
จะเอาไปทำราบงานจ๊